ข่าว

อ.เจษฎา ยกงานวิจัยโควิด-19 ชี้ไม่สามารถชนะได้แต่ต้องหาทางอยู่ร่วมกับมัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ หยิบยกงานวิจัยที่ระบุว่า เราต้องรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ไปอีกอย่างน้อย 2 ปีเพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 เผย วลีที่ว่า "ปิดประเทศ ให้เจ็บแล้วจบ" หรือ "การ์ดห้ามตก ต้องล็อคดาวน์ต่อไป" ก็ไม่น่าจะได้ผลจริง

อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดถึงสถานการณ์โรคไวรัสโควิด-19 โดยหยิบยกงานวิจัยที่ระบุว่า เราต้องรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ไปอีกอย่างน้อย 2 ปีเพื่อรับมือกับโรคโควิด-19

งานวิจัยใหม่ล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารวิจัยระดับโลก Science ที่ทำแบบจำลองประเมินการระบาดของโรคโควิด-19 ระบุว่า "มันจะกลับมาระบาดใหม่หรือไม่ในช่วงนี้จนถึงปี 2025 นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามนุษยชาติจะมีภูมิต้านทานต่อโรคหรือไม่ การทำ Social distancing เป็นระยะทางสังคมนั้น อาจจะต้องยาวนานไปจนถึงปี 2022 ถึงจะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผู้ป่วยมากจนเกินที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้"
 

 

 

สำหรับผลที่ออกมานี้ ก็ค่อนข้างสอดคล้องกับที่ผมคิดไว้นะ คือเราไม่สามารถสู้จนชนะเชื้อโรคได้อย่างที่หลายๆ คนพยายามจะพูดกัน แต่ต้องหาทางอยู่ร่วมกับมันจนกว่ามันจะกลายเป็นโรคประจำฤดูกาลไปในที่สุด วลีที่ว่า "ปิดประเทศ ให้เจ็บแล้วจบ" หรือ "การ์ดห้ามตก ต้องล็อคดาวน์ต่อไป" ก็ไม่น่าจะได้ผลจริง เพราะไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าจะจบเมื่อไหร่ ขนาดวัคซีนก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเสร็จเมื่อไหร่กัน เสร็จแล้วจะมีให้คนไทยเราใช้ได้อย่างปลอดภัยหรือเปล่า ต้องมาลุ้นกันอีก
 

 

 

แต่ในมุมกลับข้าง สิ่งที่เห็นแล้วจริงๆ ก็คือสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เสื่อมสลายลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ยังไม่ตกงาน หรือข้าราชการ มีคนที่มีเงินเก็บมากๆ ก็คงยังไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่หาเช้ากินค่ำ แรงงานรายวัน หรือคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว-เดินทาง-บริการต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัสแน่ๆ ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน แล้วผลกระทบจะย้อนกลับมาที่สังคมโดยรวมอีกครั้ง เมื่อคนยากจนมากขึ้น จะทำให้อาชญากรรมสูงขึ้น ลักเล็กขโมยน้อย จนไปถึงจี้ชิงปล้น ฯลฯ
 

 

 

ผมว่าเราควรจะต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ได้แล้วนะ ต้องหาทางออกให้กับธุรกิจและอาชีพต่างๆ ได้เดินหน้าต่อไป ในสภาพที่การ์ดก็ยังไม่ตกด้วย เอาแค่คำว่า social distancing นี่แหละเป็นเกณฑ์สำคัญที่สุดในการขออนุญาตประกอบการต่อ รัฐบาลควรจะให้สมาคมวิชาชีพต่างๆ หรือห้างร้านหน่วยงานบริษัท รวมถึงสถาบันการศึกษา เขียนแผนประกอบการที่สร้างกฎเกณฑ์ว่า องค์กรของตัวเองจะดำเนินการอย่างไรให้เกิด social distancing ขึ้นบ้าง มีมาตรการด้านสุขลักษณะอย่างไร แล้วอนุญาตเป็นรายๆ ไปถ้าผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
 

 

อีกเรื่องที่น่าคิดคือ ช่วงอายุของผู้ติดเชื้อ ซึ่งเราพบว่า วัยเด็กถึงหนุ่มสาวจนถึงวัยทำงาน มักจะไม่ได้มีอาการป่วยอะไรรุนแรงเท่ากับคนที่อยู่ในวัยกลางคนไปจนถึงผู้สูงอายุ ดังนั้น ก็น่าจะพิจารณาให้คนกลุ่มหนุ่มสาวนี้ได้กลับเข้าสู่สังคมร่วมกันก่อน เมื่อรัฐบาลตัดสินใจแล้วว่ามีความพร้อมที่จะเลิกการล็อคดาวน์ จะได้ไม่ขาดกำลังสำคัญในการดำเนินเศรษฐกิจต่อไป (อันนี้มีงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ของประเทศอังกฤษ เสนอไว้)
 

 

 

ขณะเดียวกัน การแยกผู้สูงอายุให้ออกห่างจากความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรค จากคนหนุ่มสาวนั้น จะต้องเน้นให้มากขึ้นด้วย เพราะว่ามีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะวิกฤติจนถึงเสียชีวิตได

 

 

 


 

 

 

CR : Jessada Denduangboripant

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ