รวบแล้ว 2 ล่าอีก 1 ‘พยายามฆ่า’ รุมตื้บลูกชายสารวัตรสาหัส รอสอบปากคำประกอบพยานหลักฐานออกหมายจับเพิ่ม อีก 5 ร่วมก่อเหตุ
23 พ.ย. 60 ความคืบหน้ากรณีกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาท และมีการใช้ระเบิดขวดปาใส่รถ จยย. จนทำให้เกิดไฟลุกไหม้รถ จยย. นายกุลธวัช วิสิทธิ์ อายุ 26 ปี บุตรชายนายตำรวจยศ พ.ต.ท. สังกัดกองบัญชาการศึกษา ผู้ขับขี่ ได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณแยกภาสยา แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. (หลัง ม.ธุรกิจบัณฑิต)
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น. พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ดร.มานะ เผาะช่วย ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง พ.ต.ท.กฤษณ์พนธ์ เพ็ชรสดศิลป์ รอง ผกก.สส.สน.ทุ่งสองห้อง , พ.ต.ท.สำอาง ขาวสอาด สว.สส.สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมด้วยฝ่ายสืบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายเอ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 2566/2560 ลงวันที่ 22 พ.ย. 2560 และนายบี (นามสมมติ) อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 2567/2560 ลงวันที่ 22 พ.ย. 2560 ในข้อหา ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น พร้อมของกลาง รถ จยย.ฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ 150 สีส้ม-ดำ หมายเลขทะเบียน 6 กฮ 8208 กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมนายเอและนายบีได้ที่บริเวณบ้านพัก
พล.ต.ต. สมพงษ์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีรถ จยย.ที่ขับขี่ไปด้วยกันประมาณ 4 คัน ผู้ต้องหาประมาณ 8 คน ซึ่งก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ก่อเหตุบางคนและผู้บาดเจ็บได้นั่งดื่มกินอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่งใกล้กับจุดเกิดเหตุ ก่อนที่กลุ่มผู้ก่อเหตุเกิดการกระทบกระทั่งกับโต๊ะข้างๆ นายกุลธวัชจึงเข้าไปห้าม ทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุคิดว่านายกุลธวัชเป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่มีเรื่องกันในร้าน ทั้งนี้ เมื่อนายกุลธวัชออกจากร้าน กลุ่มผู้ก่อเหตุจึงได้ขี่รถ จยย.ไล่ติดตาม เมื่อนายกุลธวัชรู้ตัวว่าถูกไล่ตามจึงบิดรถ จยย.เพื่อหลบหนี ก่อนที่จะถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุขับตามมาประกบและถีบรถ จยย.จนล้มลง ส่วนเพลิงที่ลุกไหม้นั้นยังไม่สรุปว่าเป็นระเบิดเพลิง หรือเกิดจากอุบัติเหตุ เนื่องจากคำให้การผู้ต้องหาทั้ง 2 ให้การอ้างว่า เป็นขวดเปล่า และยังแปลกใจว่า เพลิงลุกไหม้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ เนื่องจากต้องรอผลการพิสูจน์ในที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เพื่อนำมาประกอบในสำนวน ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนมีการออกหมายจับผู้ก่อเหตุไปแล้ว 3 ราย โดยขณะนี้สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว 2 ราย และยังเหลือผู้ต้องหาตามหมายจับที่ยังหลบหนีอยู่อีก 1 ราย คือ นายสุขสันต์ หรือ ยีน นกศิริ อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาตามจับศาลอาญา เลขที่ 2568/2560 ส่วนผู้ที่คาดว่าจะร่วมก่อเหตุอีก 5 คน ที่เหลือนั้น พนักงานสอบสวนกำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบปากคำผู้เสียหายที่ยังคงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ เพื่อนำมาประกอบกับการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับต่อไป สำหรับหนึ่งในผู้ต้องหาที่มีนามสกุลตรงกับอดีต รอง ผบ.ตร. ท่านหนึ่ง และมีการระบุว่าเป็นหลานนั้น จากการตรวจสอบพบว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และอาจเป็นนามสกุลที่ซ้ำกันเพียงเท่านั้น
จากการสอบสวน นายเอ ให้การรับสารภาพว่า ได้รับโทรศัพท์จากนายสุขสันต์ว่าถูกทำร้ายที่ร้าน ตนจึงขับขี่รถ จยย.ออกมา โดยมีนายบีเป็นผู้ซ้อนท้าย เพื่อไปหานายสุขสันต์ จากนั้นเห็นนายกุลธวัชขับขี่รถ จยย.ออกจากร้านด้วยความรวดเร็ว จึงคิดว่าเป็นคู่อริ ตนและพรรคพวกประมาณ 7 - 9 คน จึงได้ขับขี่รถ จยย.ไล่ติดตามไป กระทั่งขับตามมาทันจึงได้ใช้เท้าถีบรถ จยย.ของนายกุลธวัชจนล้มลง ก่อนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน จากนั้นรถ จยย.ของนายกุลธวัชได้เกิดไฟลุกไหม้ทั้งคัน พวกตนจึงได้แยกย้ายกันหลบหนี
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงเหตุทำร้ายร่างกายดังกล่าว ว่า สำหรับกลุ่มวัยรุ่นคู่อริที่ลงมือทำร้ายร่างกายลูกชายนายตำรวจตำแหน่งสารวัตรฝ่ายอำนวยการ และปาระเบิดใส่รถจักรยานยนต์จนเกิดเพลิงลุกไหม้ พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสอบปากคำพยานไปหลายปากแล้ว จนกระทั่งพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลอาญา และศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 3 คน ในข้อหา พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 2 คน ส่วนผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุนั้น อยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามจับกุมมาดำเนินคดี สำหรับสาเหตุที่ผู้ต้องหาก่อเหตุนั้น เบื้องต้นทราบว่า เกิดจากการไม่พอใจที่มีปากเสียงในร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ
"คดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนมาโดยตลอด และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และประชาชน จนสามารถยื่นคำร้องขอหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว จึงขอให้ประชาชนหากมีข้อมูลเบาะแสที่เป็นประโยชน์ต่อคดี สามารถแจ้งข้อมูลเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง โทร 02-5746465 หรือ ศปก.ตร.สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชม."
ข่าวที่เกี่ยวข้อง