ข่าว

ออกหมายจับ!  “สมเกียรติ” แกนนำ พธม.ไม่เชื่อป่วย !!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 ศาลออกหมายจับ  “สมเกียรติ” แกนนำ พธม.หลังไม่มาศาล ไม่เชื่อว่าป่วย นัดอีกครั้ง 24 ก.ค. กำชับใครป่วยต้องพาแพทย์มาไต่สวน

         

          19 มิ.ย.60-ศาลสั่งออกหมายจับ "สมเกียรติ" หลังทนายขอเลื่อนนัดอ่านอุทธรณ์คดีบุกทำเนียบไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ระบุป่วยคล้ายบ้านหมุน ศาลนัดอ่านอุทธรณ์รอบสาม เช้า 24 ก.ค.นี้ พร้อมกำชับใครป่วยต้องพาแพทย์มาไต่สวน

          ที่ห้องพิจารณา 710 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น.เศษ ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกรุกทำเนียบรัฐบาลปี 2551 หมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 82 ปี , นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 69 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 71 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 67 ปี, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 71 ปี อดีตแกนนำ พธม. และ นายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี อดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 365 

          โดยวันนี้ ศาลได้เบิกตัวนายสนธิ จำเลยที่ 2 ซึ่งถูกคุมขังในคดีผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาจากเรือนจำคลองเปรม ซึ่งมีสีหน้าสดใส ร่างกายแข็งแรง  

          ส่วน พล.ต.จำลอง จำเลยที่ 1 , นายพิภพ จำเลยที่ 3 , นายสมศักดิ์ จำเลยที่ 5 และนายสุริยะใส จำเลยที่ 6 ซึ่งได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์และทนายความ เดินทางมาศาลพร้อมฟังคำพิพากษา ซึ่งวันนี้เป็นการนัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่ 2 หลังจากเลื่อนมาเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจาก พล.ต.จำลอง จำเลยที่ 1 ป่วย 

          ขณะที่นายสมเกียรติ จำเลยที่ 4 ไม่ได้เดินทางมาศาล แต่มอบอำนาจทนายความมาแถลงขอเลื่อนนัด ซึ่งทนายความของนายสมเกียรติ จำเลยที่ 4 ได้แถลงต่อศาลว่า ช่วงก่อนวันนัด นายสมเกียรติมีอาการป่วยลักษณะคล้ายโรคบ้านหมุน ซึ่งได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยทนายได้ยื่นสำเนาใบรับรองแพทย์ 

          ขณะที่ศาล ได้สอบถามทนายความจะให้นำแพทย์มาไต่สวนเพื่อศาลจะสอบถามรายละเอียดภายในวันนี้ได้หรือไม่ ซึ่งทนายความแจ้งว่าไม่สามารถนำแพทย์มาไต่สวนได้ภายในวันนี้ และไม่ทราบว่าแพทย์จะวินิจฉัยอาการอย่างไร

          ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 4 จะมีอาการป่วยจริง จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 4 เพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไป พร้อมให้ปรับนายประกันเต็มจำนวน 200,000 บาท และกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไปในวันที่ 24 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น. โดยศาลได้กำชับคู่ความด้วยว่า ในนัดหน้าหากจำเลยคนใดป่วยอีก ให้นำแพทย์มาไต่สวนด้วย

          ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ที่ศาลสั่งเลื่อนการอ่านคำพิพากษา โดยเลื่อนอ่านคำพิพากษาจากครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พ.ค.60 มาเป็นวันนี้(19มิ.ย.) เนื่องจากครั้งนั้นพล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 1 ป่วยและเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระ โดยได้ยื่นใบรับรองแพทย์แสดงต่อศาล ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้

           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.55 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 ได้มีผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าว เป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินเพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ต่อมาหลังจากนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค.51 

          ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 26 ส.ค.51 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ทำลายเครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนถึงวันที่ 3 ธ.ค.51 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาตได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลรวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล แล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยและระหว่างวันที่ 26 ส.ค.- 3 ธ.ค.51 ซึ่งมีการจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล และมีผู้ชุมนุมจำนวนมากได้เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย แล้วยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้า-หน้าตึกสันติไมตรีในความดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ

          ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 28 พ.ค.58 เห็นว่า จำเลยทั้งหก กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 358,365 การกระทำของจำเลย ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ คนละ 2 ปี โดยจำเลยทั้งหก ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ