Lifestyle

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์... ชวนเที่ยว  เรื่อง / ภาพ...  นพพร วิจิตร์วงษ์


 
          ใครที่บอกว่า ภูกระดึงเป็นปฐมบทของการเดินทางท่องเที่ยวผจญภัย ภูสอยดาว ก็คงเหมือนระดับประถม ที่ยากขึ้นมาหน่อยตรงที่ต้องเตรียมข้าวของทุกอย่างไปเอง ไม่เหมือนภูกระดึงที่มักกระเซ้ากันว่า แค่กำเงินไปก็พอ

          ฤดูกาลท่องเที่ยวภูกระดึงและแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติส่วนใหญ่ มักจะปิดให้ท่องเที่ยวตามเส้นทางธรรมชาติในช่วงฤดูฝน แต่สำหรับภูสอยดาวกลับเป็นช่วงที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะเป็นห้วงเวลาของดอกไม้ดินจำพวก ดอกหงอนนาค บานฉ่ำฝนอยู่บนลานสนบนภูสอยดาวนั่นเอง และช่วงที่บานเยอะๆ ก็มักจะเป็นช่วงปลายเดือนสิงหาคม-กันยายน โดยเฉพาะช่วงกลางเดือนมักเป็นช่วงพีคของดอกหงอนนาค ที่พร้อมใจกันบานอวดโฉม เคล้ากับสายหมอกในดงสนสามใบ
“ดอกหงอนนาค” ดอกไม้ดิน ที่เป็นตัวเรียกแขกให้มาเยือนดินแดนที่เรียกกันว่า ลานสนบนภูสอยดาว ซึ่งเป็นท้องทุ่งดอกหงอนนาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะว่า ที่นี่มีเนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่ แต่กว่าจะขึ้นไปถึงลานสนนี้ได้ ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะต้องเดินเท้าขึ้นไประยะทาง 6.5 กม. ชนิดที่ว่า ต้องอาศัยทั้งแรงกายและแรงใจเลยทีเดียว โดยมีผู้ช่วยคนสำคัญ ก็คือ ลูกหาบ ที่จะแบ่งเบาสัมภาระที่เราขนไปได้

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          ลานสนภูสอยดาว เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ และบางส่วนของ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก นักท่องเที่ยวที่มาส่วนใหญ่จะใช้เวลา 3 วัน 2 คืนกำลังดี มีเวลาพักผ่อนและพักขา แต่ก็มีที่เวลาจำกัด พละกำลังเหลือเฟือก็อาจจะเที่ยวแบบ 2 วัน 1 คืน คือเดินขึ้นหนึ่งวันและเที่ยวด้านบน วันรุ่งขึ้นอาจจะเดินเที่ยวอีกหน่อยแล้วค่อยเดินกลับลง กลุ่มเราเดินไม่ค่อยเก่ง แล้วอยากมีเวลาพักผ่อนอยู่กับธรรมชาตินานๆ เลยขอเวลาสัก 3 วัน 2 คืนกำลังดี

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          เพราะจะว่าไป นอกจากทุ่งหญ้า ป่าสน เต็มไปด้วยดอกหงอนนาคแต่งแต้มให้พื้นที่กว้างสวยงามแล้ว ยังเพิ่มสีสันด้วยดอกไม้ดินอีกมากมายหลายชนิด ทั้งกระดุมเงิน (มณีเทวา) ดอกกุง เอื้องนวลจันทร์ ล่าสุดเห็นมีชมพูเชียงดาวขึ้นอยู่เต็ม ราวกับว่าที่นี่เป็นสวรรค์บนดิน

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

 

          คนที่ชอบถ่ายรูปกับดอกไม้มักชอบใจ เพราะแทบไม่ต้องพยายามเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหนไกลๆ ก็ได้เชยชมดอกไม้สวยๆ แล้ว ขอแค่ระมัดระวังไม่ไปเหยียบย่ำมันก็พอ

          จากกรุงเทพฯ เราออกเดินทางกันตอนค่ำ ไปเช้าตรู่ที่ อ.ชาติตระการ เตรียมเสบียงกันก่อน ที่ตลาดเช้า ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ แล้วค่อยเข้าไปที่น้ำตกภูสอยดาว อันเป็นจุดเริ่มต้นเดินเท้า แต่ปัจจุบันจะต้องแวะเปลี่ยนถ่ายรถตรงที่ทำการด้านนอก เพื่อชั่งน้ำหนักข้าวของที่จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไป ถ้าไปสายก็ต้องรอคิวกันยาว

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

 

          จากจุดเริ่มต้นเดินเท้าก็ขึ้นทางชันซะแล้ว ผ่านแนวน้ำตกภูสอยดาว ขึ้นไป มีบันไดเดินขึ้นสบายๆ แต่จุดที่ชันจริงๆ อยู่ด้านใน หลังจากข้ามธารน้ำไปแล้ว คราวนี้ก็ตัดขึ้นเขาอย่างเดียว เอาว่า แค่ดูชื่อเนินต่างๆ ที่เขาตั้งไว้ ก็ต้องประเมินกำลังตัวเอง ว่าจะเดินกันไหวหรือเปล่า

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          เริ่มเบาๆ กับเนินส่งญาติ คือญาติมาส่งให้ไปต่อ เพราะญาติเองเดินไม่ไหวแล้วขอกลับไปก่อน แล้วยังไปเจอกับเนินถัดไป ชื่อเนินปราบเซียน, เนินป่าก่อ, เนินเสือโคร่ง เนินนี้ไม่ใช่เพราะมีเสือโคร่งเยอะแยะอะไร แต่เป็นต้นกำลังเสือโคร่งที่มีขึ้นอยู่ทั่วไป

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          ผ่านมาถึงเนินพวกนี้ ระยะความสูงก็ปาเข้าไปเกิน 1,400 เมตร แล้ว แต่หลายคนแทบขาดใจ กว่าจะผ่านเนินสุดท้ายไปได้ “เนินมรณะ” ฝนตกก็ทางลื่น เละ แต่ถ้าฝนไม่ตกก็ร้อนแดดมากๆ เพราะไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแล้ว เนื่องจากสภาพเป็นริมผาสูง แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนก็คือ วิวริมเขาที่สวยงาม แล้วก็อาจจะได้เห็นดอกลิลลี่ดอย ดอกโตๆ แต่ถ้าไม่มีอะไร ก็ก้มหน้าก้มตาก้าวไป ทักทายเพื่อนร่วมทางที่พบไป พอจะคลายเหนื่อยไปได้บ้าง

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          ถึงป้ายแสดงจุดสูงที่สุดของลานสน 1,635 ม. กับเงาของทิวสนในสายหมอก กับดอกหงอนนาค เชื่อว่าหลายคนก็คงหายเหนื่อย แม้จะต้องเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้ถึงลานกางเต็นท์

          การเดินระยะกว่า 6 กม. ขึ้นลานสนภูสอยดาว เหมือนระยะไม่ไกล แต่หลายคนก็ใช้เวลาไม่น้อย ตั้งแต่ 4-6 ชั่วโมงกันนั่นแหล่ะ บางคนอาจจะมากกว่านั้นอีกหน่อย ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จะกันพื้นที่ไว้สำหรับกางเต็นท์ ไม่ปล่อยให้เกะกะเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ก็เคยมีเหมือนกันที่นักท่องเที่ยวแน่นหนาจนเต็นท์ทะลักออกไปนอกแนวเขตอยู่บ้าง

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          หลังจับจองพื้นที่ ตั้งเต็นท์เรียบร้อย ก็ถึงเวลาพักผ่อน บางกลุ่มที่เดินขึ้นมาจนมืดค่ำ ก็อาจจะกินข้าวเย็นแล้วนอนกันเลย หรือใครที่ขึ้นมาเร็วอาจจะได้โอกาสไปชมอาทิตย์ตก ที่ริมหน้าผา วันที่ฟ้าระเบิดสวยๆ ที่นี่จะกลายเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดไปเลยทีเดียวเชียว พวกเราอยู่ในอย่างหลัง เลยมีโอกาสชมอาทิตย์ตกซะ 2 วัน 2 อารมณ์

          วันรุ่งขึ้น ได้เวลาพาทัวร์ลานสน ข้ามธารน้ำจากแคมป์พักไป เป็นลานสนกว้างๆ กับทุ่งหงอนนาคให้เลือกชื่นชม ลานสนแถบนี้ จะอยู่ติดกับเขตประเทศลาว ห่างจากแคมป์ราวๆ 1 กม. มีหลักเขตที่ปักปันแบ่งแยกดินแดนไทย-ลาวชัดเจน เป็นอีก 1 แลนด์มาร์กที่ใครไปใครมา ก็มักไม่พลาดแวะมาถ่ายรูป เดี๋ยวอยู่ฝั่งไทย เดี๋ยวอยู่ฝั่งลาว

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          หลักเขต สองดินแดนนี้ ก่อสร้างโดยใช้คนไทย 30 คน คนลาว 30 คน มาช่วยกันก่อหลักเขตกันคนละครึ่ง โดยแต่ละฝ่ายขนปูนทรายกันมาเองด้วย แต่พ่อก่อเป็นหลักเข้าด้วยกัน กลับดูกลมกลืน ดินแดนหลังเขตฝั่งลาว เดี๋ยวนี้ไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปเที่ยวทั้งบริเวณน้ำตกลานมอส และขึ้นยอดสูงสุด 2,102 เมตรอีกแล้ว จากเดิมที่เคยอนุญาตให้ขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม อย่าคิดว่าจะทำเป็นเดินหลงเข้าไปเที่ยว ก็ไม่ได้เช่นกันนะคะ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ไปคอยเฝ้าระวังอยู่ห่างจากหลักเขตเข้าไปหน่อย

          ในเส้นทางเดินชมหลักเขต ยังมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติเป็นวงรอบในระยะทาง 2.28 กิโลเมตร ใครพลังเหลือๆ จะเดินรอบก็ไม่ว่ากัน หรือใครกำลังน้อย เดินมาถ่ายรูปที่หลักเขต แล้วจะกลับไปชื่นชมดอกหงอนนาคแถวๆ แคมป์พักก็ไม่ผิดกติกา ขนาดว่าบางคนไม่เดินก็ได้ชื่นชมดอกหงอนนาคข้างเต็นท์ยังมี

 

ทุ่งหญ้า ป่าสน ดอกหงอนนาคฉ่ำฝน บน ‘ภูสอยดาว’

          กระทั่งคนที่ไม่เคยท่องเที่ยวเดินป่า แต่พอได้มีโอกาสมาเที่ยวภูสอยดาวสักครั้ง แม้จะแสนเหนื่อย แต่ทุ่งดอกไม้ที่เห็น ธรรมชาติที่พบ ให้ความรู้สึกอิ่มเอมมากกว่าการท่องเที่ยวในเมืองอย่างไม่น่าเชื่อ

          และแม้จะเคยผ่านเส้นทางนี้มาแล้ว แต่หลายคนก็เลือกที่จะมาซ้ำ กับอารมณ์ของทุ่งหญ้า ป่าสน และดอกหงอนนาคฉ่ำฝน ที่เป็นเสน่ห์กลางฤดูฝนของภูสอยดาว ภูสูงชายแดนลาวฝั่งอุตรดิตถ์-พิษณุโลกแห่งนี้

............................................
- อุทยานฯ ภูสอยดาว เปิดให้เที่ยวชมตั้งแต่ 1 ก.ค.-15 ม.ค. ของทุกฤดูกาล (ช่วงดอกไม้บาน ควรสอบถามก่อนเดินทาง)
- แคมป์พักบนลานสน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ และไม่มีร้านอาหาร ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปกันเอง หรือเช่าจากทางอุทยานฯ ได้
- ค่าลูกหาบแบกสัมภาระ กก.ละ 35 บาท
- สอบถามเพิ่มเติม “อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว” โทร. 0-5543-6001

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ