Lifestyle

ภูสอยดาวดินแดนแห่งทิวสน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ภูสอยดาวดินแดนแห่งทิวสน สายหมอก และดอกไม้ : คอลัมน์ชวนเที่ยว

                การเดินทางของผมครั้งนี้ เริ่มขึ้นในค่ำคืนหนึ่งกลางฤดูฝน ถึงแม้ยังไม่มีวี่แววของเมฆฝนให้มากังวล แต่คำพยากรณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาก็ไม่ได้ให้ความหวังมากนัก ทั่วทุกภาคคาดว่า จะมีฝนหนาแน่นอยู่ตลอด 2-3 วันนี้ สาเหตุที่เราเดินทางเข้าป่ากันในฤดูฝน ทั้งๆ ที่เสี่ยงต่อการเปียกปอน ก็เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาเดียว ที่ทุ่งหญ้าบนภูสอยดาวจะเขียวชะอุ่มจากน้ำฝน พร้อมๆ กับการผลิบานของดอกหงอนนาค สีม่วงอ่อน ที่จะบานสะพรั่งเต็มลานสน

                 รถตู้ที่ขนสัมภาระเต็มท้ายรถ นำเรามุ่งหน้าขึ้นเหนือ ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ พิษณุโลก ก่อนจะมาเตรียมเสบียงกัน ที่อำเภอชาติตระการในเวลาย่ำรุ่ง ผมใช้เวลาตลอดการเดินทางในการงีบหลับให้มากที่สุด เพราะคงไม่สนุกเลยถ้าอดนอนแล้วต้องออกเดินป่าในเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้นกว่าที่ผมจะรู้สึกตัว รถตู้ของเราก็มาจอดกันบริเวณน้ำตกภูสอยดาว อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ อันเป็นจุดเริ่มเดินเท้า สำหรับการพิชิตภูสอยดาวเป็นที่เรียบร้อย

                 การเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินป่าในฤดูฝน จำเป็นต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ข้าวของส่วนกลางถูกจัดเตรียมโดยสต๊าฟของทางทัวร์ ส่วนพวกผมรับผิดชอบของใช้ส่วนตัวที่จะถูกหุ้มด้วยถุงพลาสติกก่อนใส่ลงเป้ แถมด้วยถุงพลาสติกหุ้มภายนอกเป้อีกชั้น ก่อนถูกส่งต่อให้กับลูกหาบ ถ้าเป็นสมัยก่อนผมอาจเลือกที่จะแบกของเอง แต่ด้วยอายุที่มากขึ้น การเดินตัวเปล่าดูจะเป็นการถนอมร่างกายที่ดี โดยมีการถ่ายรูประหว่างทางเป็นข้ออ้างได้อีกข้อหนึ่ง

                 เส้นทางเดินเท้าขึ้นภูสอยดาวมีระยะทางประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน4-6 ชั่วโมง โดยมีเนินสำคัญๆ อยู่ถึง 5 เนิน ได้แก่ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ เป็นเนินสุดท้าย ในช่วงแรกเส้นทางเดินจะขนานไปกับลำธารของน้ำตกภูสอยดาว ก่อนจะเริ่มสูงชันขึ้น โดยมีเนินแต่ละเนินเป็นจุดวัดใจในการก้าวย่างไปแต่ละก้าว

                เนินส่งญาติ เป็นเนินที่มีระยะทางไม่ไกลนัก แต่ก็สูงชันจนแทบหอบเมื่อถึงปลายเนิน ส่วนป่าก่อก็เป็นเนินที่ดูยาวไกลสุด แต่ความลาดชันอาจไม่เท่าเนินอื่นๆ นัก ผมเดินมาได้เกือบครึ่งทาง สิ่งที่เกรงมาแต่ต้นก็เกิดขึ้นจริง นั่นคือสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาหนักบ้าง เบาบ้าง เส้นทางเริ่มเปียกลื่น แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นหลุมโคลน ช่วงท้ายของเส้นทางที่แรงกายเริ่มหมด แต่สิ่งท้าทายก็เข้ามาประจันอยู่เบื้องหน้า นั่นคือเนินที่ได้ชื่อว่าสูงชันที่สุดคือ "เนินมรณะ"

                เป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมงจากจุดเริ่มต้น จนกระทั่งผมก้าวผ่านเนินมรณะมาได้ เส้นทางขณะนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกฝนสีขาวโพลน ผมก้าวย่างไปอย่างช้าๆ พร้อมๆ กับภาพของสายหมอกที่ค่อยๆ จางลง ทัศนียภาพเบื้องหน้าปรากฎให้เห็นทุ่งหญ้าเขียวขจีกับทิวสนสามใบขึ้นอยู่เรียงราย เป็นภาพแปลกตาที่เสมือนพาผมหลุดเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง ผมเดินผ่านไปตามทางเดินที่ลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้า และป่าสนสายหมอกเคลื่อนตัวตามแรงลมตลอดเวลา เพียงไม่ไกลนัก ผมก็มาถึงจุดกางเต็นท์ อันเป็นที่พักแรมของพวกเราใน 2 คืนต่อจากนี้

                สายฝนในขณะนั้น เริ่มเทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา มีเพียงเพิงเล็กๆ ของเจ้าหน้า ที่อุทยานฯมีให้หลบฝน พื้นที่สำหรับกางเต็นท์ ขณะนี้เปียกแฉะไปด้วยน้ำฝนที่ไหลบ่ามาจากเนินเขาเบื้องบนการหาที่แห้งๆ สำหรับวางสัมภาระ หรือแค่นั่งพักเหนื่อยก็ดูจะเป็นเรื่องยากยิ่งในเวลานี้ ดังนั้นเราจึงมาช่วยกันตั้งแคมป์กลางสายฝน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่า เป็นลูกทัวร์หรือสต๊าฟ

               สายฝนเริ่มซาลงพร้อมๆ กับที่พักแรมที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมเองจึงได้มีโอกาสเอนตัวพักเหนื่อย เท้าทั้งสองในขณะนั้นขาวซีดจากการแช่น้ำมาหลายชั่วโมง พอตกบ่าย สายหมอกเริ่มจางลง ผมก็เริ่มตระหนักว่า ทิวทัศน์รอบที่พักเรานั้นช่างงดงามไปด้วยทุ่งหญ้าทิวสน และดอกหงอนนาค สีม่วงอ่อน  

              ดอกหงอนนาค เป็นพืชที่มักขึ้นบริเวณลานดินทรายที่มีน้ำขัง หรือบริเวณทุ่งหญ้าป่าสนบนภูเขาสูง ดังเช่นที่ภูสอยดาวแห่งนี้ และที่นี่ถือได้ว่าเป็นทุ่งดอกหงอนนาคที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว ดอกหงอนนาคที่ภูสอยดาวจะชูช่อบาน ในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงเดือนกันยายนของทุกปี ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเยือนภูสอยดาว สามารถแบ่งได้สองช่วงหลักๆ คือ ฤดูฝนที่จะมีดอกหงอนนาคชูช่อให้ชม ท่ามกลางสายหมอกฝน แต่แทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินตรงจุดชมวิวริมผา เพราะอากาศปิดเกือบตลอดเวลา ส่วนอีกช่วงเป็นฤดูหนาวที่ท้องฟ้าใส ทุ่งหญ้ากลายเป็นสีทอง และมีแนวโน้มจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินค่อนข้างมาก แต่หมดโอกาสได้ชมดอกไม้ และค่อนข้างขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้

               ลานสนบนภูสอยดาวแห่งนี้ มีลักษณะเป็นที่ราบบนเทือกเขาสูง กินอาณาบริเวณกว้างขวางกว่า1,000 ไร่ พันธุ์ไม้หลักของที่นี่คือสนสามใบ ส่วนพืชชั้นล่างเป็นทุ่งหญ้า และดอกไม้ดินชนิดต่างๆ เช่น สร้อยสุวรรณา กระดุมเงิน กระดุมทอง และที่พบเห็นได้มากที่สุด คงไม่พ้นดอกหงอนนาค ที่ผมตั้งใจมาชมในครั้งนี้

               วันรุ่งขึ้น เราเดินเข้าไปสำรวจยังน้ำตกสายทิพย์ ที่อยู่ไม่ไกลจากลานสนมากนัก เส้นทางเดินจากลานสนดำดิ่งสู่น้ำตกขนาดเล็กที่มีถึง 7 ชั้น น้ำตกแห่งนี้อาจไม่ได้มีชื่อเสียง ในเรื่องความยิ่งใหญ่ แต่ก็โดดเด่นในเรื่องความชุ่มชื้นของสภาพ โขดหินริมลำธารที่ถูกปกคลุมไปด้วยมอสส์สีเขียวขจี รถหว่างทางที่เดินตามลำธาร ยังได้พบเห็นต้นเมเปิ้ลที่ทิ้งใบสีส้มแดงร่วงอยู่ตามโขดหิน เราปีนป่ายกลับขึ้นมายังลานสนอีกครั้ง เมื่อเวลาเกือบเที่ยงจุดหมายต่อไปคือลานสนกว้างตามแนวตะเข็บชายแดน ที่อยู่เลยด้านหลังของจุดพักแรมออกไป

               บริเวณลานสนของภูสอยดาวเป็นจุดรอยต่อระหว่างเขตแดนไทยและลาว ซึ่งในอดีตบริเวณแห่งนี้เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสมรภูมิบ้านร่มเกล้า ที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและลาวต้องมาบาดหมางกัน จากเรื่องพิพาทดินแดน ดังนั้นระหว่างทางเราจึงยังพบหลุมบังเกอร์ ที่เป็นร่องรอยของสงครามในอดีต รวมถึงหลักเขตไทย-ลาว ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการเจรจาหยุดยิง ส่งผลให้มีการตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-ลาวขึ้น เพื่อปักปันเขตแดน จนมาเป็นหลักเขตแดนที่   ปรากฎอยู่กลางลาน

                พวกเราเดินฝ่าละอองฝนที่เริ่มโปรยปราย หมอกฝนที่ละเลี่ยอยู่บนยอดหญ้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วตามกระแสลม ทิวทัศน์เบื้องหน้าเปลี่ยนไปตลอดเวลา บางครั้งขาวโพลนด้วยสายหมอก แต่เพียงชั่วพริบตากลับจางหาย กลายเป็นทิวสนดังเดิม เย็นนี้คงมิอาจหวังที่จะชมพระอาทิตย์ตก เพราะจุดชมวิวริมผา ขณะนี้มองออกไปเห็นแต่หมอกขาวโพลน เราจึงเลือกเดินชมทุ่งดอกไม้ก่อนจะกลับสู่ที่พักแรมในเวลาใกล้ค่ำ

                ค่ำคืนบนภูสอยดาว เป็นค่ำคืนอันไร้แสงดาว ท้องฟ้ามีเพียงเมฆฝน ผมหลับไปด้วยเสียงขับกล่อมของสายฝนที่ดังตลอดคืน พร้อมๆ กับความกังวลว่าน้ำจะบุกเข้ามาในเต็นท์หรือไม่ การเดินทางขาลงในวันรุ่งขึ้น ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง ก็มาถึงน้ำตกภูสอยดาว อันเป็นจุดที่รถตู้มาจอดรอรับพวกเราอยู่

                เวลาสามวันสองคืน ที่แม้จะมีทั้งอุปสรรคในเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ธรรมชาติก็ทดแทนเราด้วยทิวทัศน์ที่งดงามดั่งสรวงสวรรค์ และบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยมิตรภาพของเพื่อนร่วมทาง เป็นความทรงจำที่มิอาจลืมเลือนบนดินแดนแห่งทิวสน สายหมอก และดอกไม้ที่ชื่อว่า "ภูสอยดาว"

                สอบถามข้อมูล อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ 53110 โทรศัพท์ 055-436001

..........................................
(ภูสอยดาวดินแดนแห่งทิวสน สายหมอก และดอกไม้ : คอลัมน์ชวนเที่ยว  )

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ