ประวัติ 'ขุนหลวงท้ายสระ' โอรสพระเจ้าเสือ 'เกรท วรินทร' สวมบทตัวละครลับ

สมการรอคอย "พรหมลิขิต" ละครชุดบุพเพสันนิวาส กลับมาสร้างประแสออกเจ้าฟีเวอร์ พร้อมอัดแน่นด้วยเนื้อเรื่องน่าติดตาม และยังรวมเหล่าบุคคลที่มีชีวิตจริงในประวัติศาสตร์มากลายเป็นตัวละครที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องนี้ ซึ่งตัวละครลับที่หลายคนต่างเฝ้ารอ คือ "ขุนหลวงท้ายสระ" รับบทโดย "เกรท วรินทร ปัญหกาญจน์"

ประวัติ : "ขุนหลวงท้ายสระ" หรือ "เจ้าฟ้าเพชร" พระโอรสของ พระเจ้าเสือ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2251 จึงขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนามว่า "พระเจ้าภูมินทราชา" หรือ "พระเจ้าบรรยงก์รัตนาสน์" หรือ "สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9" แต่ประชาชนมักออกพระนามว่า "พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ" เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่สามแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2251 - พ.ศ. 2275 

ที่มาของชื่อ ขุนหลวงท้ายสระ : มีการกล่าวอ้างมาจากหลายตำนาน อาทิ มาจากนามพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ตั้งอยู่ข้างสระน้ำท้ายพระราชวัง อีกหนึ่งตำนาน คือ พระองค์โปรดเสวยปลาตะเพียนมาก จนถึงขั้นออกพระราชกำหนดห้ามราษฎรจับหรือรับประทานปลาตะเพียน หากผู้ใดฝ่าฝืน มีบทลงโทษคือปรับเป็นเงิน 5 ตำลึง หรือ 20 บาท

ยุคสมัยที่ ขุนหลวงท้ายสระ ขึ้นครองราชย์ : เริ่มมีการขุดคลองสำคัญอันเป็นเส้นทางคมนาคม คือ "คลองมหาไชย" และ "คลองเกร็ดน้อย" มีการแข่งกันสร้างวัด ระหว่างพระองค์กับพระอนุชา "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร)" และยังมีความสัมพันธืทางด้านต่างประเทศมากขึ้น มีการส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศจีน ทำให้การค้าขายระหว่างสยามกับจีน ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ถือว่า เป็นยุคบ้านเรือนสงบร่มเย็น

หลังสวรรณคต : สิ้นสมัยพระเจ้าท้ายสระ "เจ้าฟ้าอภัย" พระราชโอรสของพระเจ้าท้ายสระ ได้อ้างสิทธิในราชสมบัติ และ "เจ้าฟ้าปรเมศร์" พระโอรสอีกองค์ได้สู้รบกับ "เจ้าฟ้าพร" เกิดการต่อสู้ระหว่างอาและหลาน ผลสุดท้ายฝั่งอาเป็นฝ่ายชนะ และขึ้นเป็นกษัตริย์มีนามว่า "พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ" ได้ทำการกวาดล้างฝ่าย เจ้าฟ้าอภัย จนเกลี้ยงจนขาดกำลังคน และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อยุธยาอ่อนแอ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองอีกหลายครั้ง และนำมาสู่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2