อดีต ผจก. เล่าทั้งน้ำตา ไม่รู้ "ลีเดีย" ไปฟังใครมา ถ้าน้องจะฟ้อง คงห้ามไม่ได้
"อดีตผู้จัดการ" เล่าทั้งน้ำตา นาทีเคลียร์ "ลีเดีย" ช็อก ไม่รู้ไปฟังใครมา ไม่คิดว่าน้องที่เรารัก จะให้สัมภาษณ์แบบนั้น ถ้าน้องจะฟ้องเรา เราห้ามน้องไม่ได้
ก่อนหน้านี้ "คมชัดลึกออนไลน์" ได้นำเสนอข่าว "โน้ต ชาคริยา สมุทรคีรี" อดีตผู้จัดการของดาราสาว "ลีเดีย ศรัณย์รัชต์" ออกมาแก้ต่าง หลังลีเดียกับแก๊งเพื่อนดารา ประกาศข่าวฟ้าผ่าปลดผู้จัดการ ผ่านอินสตาแกรม โดยอดีตผู้จัดการยืนยันว่าไม่ได้โกงเงิน พร้อมชี้แจงว่า การหักค่าตัวดารา 15% หักจากเรตค่าตัวที่ดาราพอใจ แต่นอกนั้นมีการบวกค่าส่วนต่าง (Management) เพิ่มจากลูกค้าที่จ้างงาน เพื่อนำมาบริหารค่าใช้จ่ายต่างๆในบริษัท (ซึ่งค่า Management นี้ ไม่ได้แจ้งให้ดาราทราบ) จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
อดีตผู้จัดการ เสียใจ ยันไม่ได้โกง "ลีเดีย" แจงหักเงิน 15% มีข้อผิดพลาดตรงไหน
นอกจาก "อดีตผู้จัดการ" จะแก้ต่างในเบื้องต้นแล้ว เจ้าตัวยังได้เล่าเหตุการณ์ วันที่นัดเปิดใจกับ "ลีเดีย" อีกว่า เรายังไม่ได้คุยกับพี่แมท แต่เราได้คุยกับน้องส่วนตัว ครั้งแรกเราตั้งใจเข้าไปคุยกับทั้งคู่ที่บ้าน แต่วันนั้นก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย มีโอกาสได้มาคุยครั้งที่ 2 แต่กับน้องสองคนแบบพี่น้อง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเรายังไม่ได้คุยกันเลย แต่มันเป็นการได้รับสารมาจากทางโน้นทางนี้ ทำให้ตัวน้องเองก็มีคำถามหลายๆ อย่าง
เราได้คุยกัน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ร้านอาหารในเซ็นทรัลอีสต์วิล วันนั้นก็มีการปรับความเข้าใจกัน เราได้บอกได้นั่งอธิบายแบบนี้ว่ามันเกิดอะไร ทำไมเราพลาดเรื่องการที่เราไม่ได้บอก ก็คุยกันหลายชั่วโมงอยู่ และได้มีการเซ็นโอนหุ้นกลับไปให้น้อง ที่เราได้ทำธุรกิจร่วมกัน
(วันนั้นเขาเข้าใจไหม?) น่าจะในระดับหนึ่ง เพราะเราไม่ได้คุยกันเลย แต่หวังให้น้องเข้าใจในวันนั้นเลยมันก็คงยาก เราต้องให้เวลาไปเรื่อยๆ บรรยากาศวันนั้นอบอุ่นมากกว่า คือเรารู้สึกดีมาก หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม น้องโทรมาเราดีใจ เราอยากโทรมากแต่เราไม่รู้ว่าเขาอยากฟังเราไหม เขารู้สึกยังไง เราก็เลยรอ วันนั้นมันตื้นตันมันโล่ง เราได้คุยกับน้อง (น้ำตาเริ่มมา)
(วันนั้นอธิบายมากแค่ไหน?) ก็เริ่มตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องเลย อึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ทำยังไงให้น้องเข้าใจเรา เราเลยยังเลือกที่จะไม่พูด ส่วนเรื่องที่เขาโพสต์ได้มีการพูดคุยกันก่อน ถ้ามันเกิดเรื่องแบบนี้น้องก็บอกว่าขออนุญาตที่จะต้องแจ้งแบบนี้ เราก็เข้าใจจริงๆ ส่วนของน้องคนอื่นเราก็เอ๋อเหมือนกัน เพราะยิ่งไม่ได้คุยกันเลย
ถ้าย้อนไปวันที่เกิดเรื่องยังไม่ได้คุยกัน เพราะเราต้องลุกขึ้นมาเพื่อดูทุกอย่างมันคืออะไร ต้องใช้เวลาหาทุกอย่าง รื้อทุกอย่าง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยขอเวลาเพื่อที่จะนัดคุยกับเขาอีกครั้ง แต่พอเขาโทรมาก่อน จังหวะมันพอดี เลยไปคุยกันก่อน ส่วนน้องคนอื่นที่ไม่ใช่น้องเดียก็ได้มีการคุยกันก่อนบ้างแล้ว เพราะคนอื่นน้อย เพิ่งดูกัน 1-2 ปี
(สิ่งที่ลีเดียไม่เข้าใจคืออะไร?) เราอธิบายไม่ได้เลย อันนี้เรารู้ว่าน้องเสียใจ เราเลยตอบไม่ได้ เราขอไม่ตอบอันนี้ เพราะเป็นความคิดของน้องเราไม่อาจล่วงเกิน เราแค่ยอมรับผลของมัน เพราะเราไม่บอกความจริงเขาทั้งหมด เพราะที่เราไม่บอกเพราะเราคิดว่าเป็นพาสของบริษัทเรา เราก็เลยไม่ได้เอาตรงนี้ไปบอกเขา เพราะในสิ่งที่เขาโอเคทุกอย่างแล้ว เราทำตามนั้น ยืนยันไม่เคยโกงค่าตัวของลีเดีย เรตที่เขาจะได้รับไม่เคยโกง
บรรยากาศวันนั้นดีมาก (ทำไมถึงรู้สึก?) คิดเอง (น้ำตามา) คือเราอยากเจอน้อง เรารักน้องมาก เจตนาของเราคือไม่เคยคิดไม่ดีกับเขา เรารักเขามาก เหมือนเราทะเลาะกันแล้วไม่ได้คุยกัน ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปรับฟังจากใคร อารมณ์ของคนเราเข้าใจ แค่เขารับฟังที่เราอธิบาย เขาจะตคิดยังไงเราไม่อาจล่วงเกินได้ วันนั้นเราดีใจจริงๆ (เขาพูดปกติไหม?) เขาพูดปกติ น้องอยากรู้เหตุผลมันคืออะไร ทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ เรารู้จักเขามา เรารู้ว่าเขารับฟังเหตุผล แต่เราก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะคิดยังไง เพราะตัวเราไม่ได้ออกมาพูดเลย
(แล้วที่เราโพสต์?) พอออกมาแบบนั้นหนูก็ช็อก อ่าววันนั้นที่ไปคุยกันอ่ะ คิดว่าเขาพอจะเข้าใจบ้าง แต่พอเขาพูดออกมาเราก็เอ๋อสิ คนอื่นก็มองว่ามึงเป็นคนยังไง มึงยังลอยหน้าลอยตาทำงาน มันกลายเป็นคำนั้นที่จิ้มในหัวใจเรา จิ้มอีกว่าน้องคนที่เขายังให้เราทำงานก็โดนพาดพิงว่าใช้คนประเภทนี้ได้ยังไง ยังใช้เขาอยู่อีกเหรอ เรากลัว วันนี้เลยขอพูดในมุมของเรา
(ตั้งแต่วันที่เขาให้สัมภาษณ์ก็ยังไม่คุย?) ใช่ค่ะ (ลีเดียบอกว่ามีกระบวนการหลังบ้านไม่สามารถบอกได้?) สำหรับเขาเราไม่รู้ แต่สำหรับเราคือรื้อทุกอย่าง ทั้งตัวเอกสาร ทุกอย่าง คือระบบบริษัท ไม่ใช่รื้อแค่ของน้องคนเดียว แต่เรารื้อของทุกคน แล้วน้องคนอื่นได้คุยกันแล้ว ใครอยากได้เพิ่มเราก็ไปหาเพิ่มให้
(มีกระบวนการกฎหมายมาเกี่ยวข้องไหม?) สำหรับเขาเราไม่รู้ สำหรับเราทางกฎหมายเรามีที่ปรึกษาว่าเราทำแบบนี้มันจะเกิดขึ้นยังไง เพื่อที่จะได้โพเทคตัวเราเอง คือมันกระบวนการของบริษัท
ยืนยันว่าไม่ได้โกง คือคำว่าโกงของเราคือต้องไม่ให้เงินเขา คำว่าโกงของเราคือเชิ่ดเงิน จ่ายไม่ตรง เบี้ยว ผ่านวันไม่ยอมจ่ายสักที ที่ผ่านมาเราจ่ายตรง จ่ายก่อนลูกค้าด้วย จ่ายตามที่คุยกันไว้ นอกจากนั้นคือค่าเมเนจ ซึ่งน้องๆไม่รู้ตรงนี้ (เงินน้องเข้าที่เรา หรือบริษัทน้อง?) มันมีหลายแบบ แต่เราทุกอย่างเข้าบริษัท
(ถ้าเขาจะฟ้องเรา?) ถ้าน้องจะฟ้องเรา เราห้ามน้องไม่ได้ เพราะมันเป็นสิทธิของน้อง เราสามารถตอบได้ว่าแต่ละคนมีรายได้มายังไง มีรายได้จากอะไรบ้าง ค่าซับพรอตมีอะไรบ้าง คือตอนนี้เราดึงทุกอย่างออกมาแล้ว สามารถแจกแจงได้ เราก็ได้ถามว่าน้องจะฟ้องเราไหม น้องบอกว่าจริงๆก็อยากฟ้องแหละ แต่ด้วยความรักที่เรามีกันมานาน คือเราอยู่กันมานาน เราก็อยากจบกันดีๆ อย่างที่บอกไม่ได้คิดไม่ดีอะไรเลย ส่วนโอกาสที่จะกลับมาทำงานด้วยกันมันเป็นอนาคต แต่เรายินดีเสมอ พร้อมที่จะยืนตรงนี้เสมอ
ถามว่าทุกข์ไหมทุกข์ แต่เราต้องเผชิญกับความจริงว่าอะไรมันเกิดขึ้นไปแล้ว เราทำอะไรพลาดเราต้องยอมรับความจริง การยอมรับความจริง เราจะไปยังไงต่อ กำลังใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำให้เรากลับมามองทุกด้านจริงๆ มันเป็นบทเรียนสำคัญของเรามากๆ ว่าการทำงานเรื่องการสื่อสารสำคัญที่สุด
เราควรที่จะสื่อสารไปเลยให้ชัดเจน สิ่งไหนได้ สิ่งไหนไม่ได้ อย่ารับทุกอย่างให้มาอยู่ที่ตัวเรา เพราะนั่นคือความรับผิดชอบแล้ว ควรใช้สติ คิดให้รอบคอบ อนาคตของเราก็ยังอยากที่จะยืนอยู่ตรงนี้ ในอาชีพที่เรารักอยู่แบบนี้ เราจะบอกทุกคนเลยว่าเราจะถนอมรักษาน้ำใจคนที่ยังไว้ใจ และให้โอกาสเราอยู่ เราจะไม่ทำให้พวกเขาเสียใจอีก