ข่าว

ใกล้ 100 วันสวรรคตปวงประชายังเศร้าหมอง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถ้ามีโอกาสได้เดินทางมาถวายสักการะอย่างต่อเนื่อง เพราะรัก คิดถึงและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ใกล้ 100 วันสวรรคตปวงประชายังเศร้าหมอง

แม้การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะผ่านมาเกือบ 100 วัน ประชาชนชาวไทยจากทั่วสารทิศยังคงเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศอย่างเนืองแน่น ทุกคนยังเศร้าหมองและต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ คราบน้ำตายังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และหลายคนที่ยังทำใจไม่ได้ร้องไห้ทุกครั้งเมื่อระลึกถึงพระองค์ท่าน 

ใกล้ 100 วันสวรรคตปวงประชายังเศร้าหมอง

ปิยภรณ์ สาขากร

นางปิยภรณ์ สาขากร อายุ 54 เดินทางมาสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 7 เผยว่า ส่วนใหญ่จะแบ่งเวลามาทุกวันจันทร์ จากบ้านย่านหทัยราษฎร์ เมื่อให้บอกถึงเหตุผล ที่มาทุกอาทิตย์เจ้าตัวเริ่มน้ำตาคลอ บอกว่าไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ทั้งหมดคือความรู้สึกที่ตัวเองอยากจะมาพบพระองค์ท่าน

“ไม่ได้นึกว่าการมากราบพระบรมศพจะต้องทำเป็นหน้าที่ แต่เป็นความรู้สึกเมื่อเรานึกถึง เมื่อเราเห็นรูปพระองค์ท่านก็ยังร้องไห้ คิดถึง นั่นเป็นเหตุนำพาให้ตัวเรามาที่นี่ ถ้าไม่ติดภาระหน้าที่ก็อยากจะมาให้ได้ทุกวันเลย ตอนเด็กๆ เราไม่ค่อยรู้หรอกว่าท่านทรงงานอย่างไร แต่พอโตมาเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทำส่งถึงประชาชน จนเราคิดว่าทำไมทรงต้องทำขนาดนี้ ทำไมไม่ทรงพักผ่อนพระวรกาย ทรงตั้งใจทำเพื่อเราจริงๆ ทุกครั้งเวลายืนรอตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ จนถึงบ่าย 2-3 ก็จะนึกว่าเรามายืนแค่นี้ยังไม่เหนื่อยเท่าสิ่งที่ทรงทำให้เราเลย เรื่องแค่นี้เรารอได้” นางปิยภรณ์ กล่าวทั้งน้ำตา

ใกล้ 100 วันสวรรคตปวงประชายังเศร้าหมอง

ศรีไพร ไชยเมืองเลน

 ด้าน นางศรีไพร ไชยเมืองเลน อายุ 62 ผู้นำคณะชาวบ้านจาก จ.เชียงราย มากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 4 เล่าว่า ทุกครั้งจะนำชาวบ้านมาด้วย ประมาณ 50 คน พาเดินทางข้ามวัน มาพักแต่งตัวที่วัด แล้วมาต่อแถวสักการะพระบรมศพ ผู้ที่มาด้วยส่วนมากจะเป็นผู้สูงวัยรวมกลุ่มกันมา ไม่ค่อยรู้ทาง ซึ่งตัวเองจะคอยดูแลพาไปกราบสักการะพระบรมศพให้ได้สมความตั้งใจ

“ ดีใจนะ ทั้งที่ได้มากราบด้วยตัวเอง และได้พาคนอื่นๆ มากราบพระองค์ท่าน ทรงทำอะไรให้เรามามาก ถ้ามีโอกาสได้ขอบคุณพระองค์ก็จะทำบ่อยๆ หน้าที่ตรงนี้เหมือนเราเป็นคนรู้ทาง รู้เวลาที่เหมาะสมในการเข้ากราบ ก็อยากจะพาคนที่อยากมาหาพระองค์ท่านมาให้ถึงสมใจ ทุกครั้งจะต้องเดินทางข้ามวัน มาต่อแถวตอนเช้ามืด ครั้งแรกๆ รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน แต่พอได้เข้ากราบ ได้เห็นพี่ ป้า น้า อา ที่มาด้วยดีใจ ปลื้มใจกัน ก็หายเหนื่อย อย่างวันนี้เป็นวันหยุดรอนานมากกว่าทุกๆ ครั้งพอถามทุกคนว่าไหวไหม ก็ได้รอยยิ้มกลับมา จนได้เข้ากราบทุกคนไม่บ่นเหนื่อยเลย เป็นมุมดีๆ ที่เราได้เห็นทุกครั้งที่ได้มาที่นี่ ถ้าเหลือเวลาก็จะพาไปวัดพระเเก้วต่อ” นางศรีไพรกล่าว ด้วยรอยยิ้มปลื้มปีติ

   นับเป็บครั้งที่ 3 ของ นางนุทธนา ดงงาม วัย 68 ที่ได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ ด้วยผลกระทบจากโรคสมองตีบ ทำให้เจ้าตัวจำไม่ได้เเน่นอนว่ามาหาในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เกือบจะเป็นครั้งแรกได้วันไหน แต่จำเหตุการณ์ได้แม่นยำว่ามาเจอคนเยอะ และยืนรอนานมาก จากนั้นก็ท้อใจกลับบ้านไปก่อน

“ตอนที่กลับมาบ้าน เรารู้สึกไม่ดีเลย ไม่สบายใจ ไม่สบายตัว โทษตัวเองนะว่าแค่นี้ทำไมทำไม่ได้ ทำไมไม่รอ ทั้งๆ ที่พระองค์ทำอะไรให้เราตั้งมากมาย พอคิดมากก็ป่วยคนที่บ้านเลยปลอบใจ ให้เรารักษาตัวแล้วมาใหม่ เดิมเราอยู่ร้อยเอ็ดมีบ้านญาติอยู่หนองแขม จะมาพักเวลาคุณหมอนัดมารักษาตัวที่โรงพยาบาล คราวนี้มาอยู่กรุงเทพ พอรู้สึกสบายตัวดีก็จะมากราบพระองค์ตั้งแต่เช้ามืดเลย ตั้งใจจนเข้าไปได้ครั้งแรก ก็ดีใจมีแรงมาอีกจนครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว นอกจากมาเพราะคิดถึงพระองค์เหมือนเป็นแรงใจ แรงกายให้เรา ไม่เคยมาแล้วอาการทรุดเลยสักครั้ง กลับดีขึ้น จิตใจแจ่มใจหลังจากรักษาตัวมา 5 ปี” นางนุทธนา เล่าด้วยความปลื้มใจ

ใกล้ 100 วันสวรรคตปวงประชายังเศร้าหมอง

อมลวรรณ สุนันทา(ขวา)และครอบครัว

นางอมลวรรณ สุนันทา อายุ 58 ปี อาชีพแม่บ้าน เข้ามาสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 8 มาพร้อมลูกสาว น.ส.ประภาพร สุนันทา อายุ 34 ปี อาชีพแม่บ้าน, นายกูลวัฒน์ สุนันทา ลูกชายอายุ 21 นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธนบุรี, ด.ช.ธนชล สุนันทา ลูกชายคนเล็ก อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดเกิดการอุดม คลองสาม-รังสิต จ.ปทุมธานี ที่มาเป็นครั้งที่ 5 รวมทั้งหลานสาว ด.ญ.ธีรญา ทองมาลา อายุ 10 ปี ที่มาเป็นครั้งที่ 6 นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนวัดเกิดการอุดม และด.ญ.ณิชาภา ทองมาลา อายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนเดียวกัน

นางอมลวรรณ กล่าวว่า ตั้งใจจะมากราบสักการะพระบรมศพ 9 ครั้ง วันนี้เป็นครั้งที่ 8 แล้ว แต่ละครั้งก็ชวนลูกหลานมาเป็นเพื่อน อย่างหลานสาวก็มา 6 ครั้งแล้ว บางวันก็ได้เข้ากราบเร็ว บางวันก็รอนาน อย่างวันนี้มาถึงสนามหลวงตี 4 ได้เข้ากราบ 15.00 น.รวม 10 ชั่วโมง ก็ไม่รู้สึกย่อท้อเพราะได้เข้าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความรู้สึกที่รักในหลวงรัชกาลที่ 9 นางอมลวรรณกลับพูดไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ น้ำตาเอ่อคลอเบ้า กล่าวว่า รักพ่อ รักทุกอย่างที่พ่อทำ ก่อนจะเดินทางมาทุกครั้ง จะบอกพ่อเสมอว่าพรุ่งนี้จะพาลูกหลานมากราบพ่อ ส่วนตัวอยากให้ลูกหลานได้ซึมซับความดีงามของในหลวงรัชกาลที่ 9 และยึดเป็นแบบอย่าง ทั้งเรื่องความประหยัดมัธยัสถ์ เป็นลูกที่ดี รู้หน้าที่ของตัวเอง สำหรับรูปพระราชทานที่ได้รับนั้นบางส่วนเก็บไว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล บางส่วนได้แบ่งปันให้ญาติพี่น้องคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่มีโอกาสเดินทางมาด้วยตัวเอง

สำหรับการเตรียมความพร้อม นางอมลวรรณ เล่าว่า มีเสื้อผ้าทั้งหมดสามชุด ได้แก่ ชุดไทยจิตรลดาผ้าไหมญี่ปุ่น ราคา 1,600 บาท ส่วนอีกสองชุดเป็นกระโปรงยาวเสื้อผ้าลายลูกไม้ ซึ่งเอาไว้เปลี่ยนหากวันไหนซักไม่ทัน ปกติไม่ค่อยชอบใส่ชุดสีดำเพราะไม่ชอบ ทว่าตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตก็เต็มใจเพื่อถวายความอาลัย ใส่มาตลอด และตั้งใจจะใส่จนถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิง

"ตอนเด็กๆ เคยติดตามแม่ไปเฝ้ารับเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี แม่บอกว่าในหลวงมาที่ไหน ที่นั้นก็เจริญหมด ใครไปรับพระองค์ก็จะโชคดี ทุกวันนี้ยังจำได้ว่าเราเตรียมผ้าข้าวม้ามารองพระบาทซึ่งวันนั้นพระองค์เกือบทอดพระเนตรไม่เห็นแล้ว เมื่อทอดพระเนตรว่าเป็นของเด็ก ทรงพระดำเนินย้อนกลับมาประทับรอยพระบาท แม้จะยังเด็กแต่ก็รู้สึกดีใจมาก มารดาเป็นคนศรัทธาต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก เคยพูดว่าหากพระองค์เสด็จฯ ไปที่ไหน ที่นั่นจะเจริญ ซึ่งเราก็เห็นกับตาและรับรู้โดยตลอดว่ามี่แม่พูดเป็นความจริง" นางอมลวรรณกล่าวด้วยความปลื้มปีติ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ