วันนี้ในอดีต

15 เมษายน 2555 "ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ในแต่ละครั้งที่เจ้าตัวระบุเอง หรือ ฝากคนใกล้ชิดมาบอกกล่าวกับคนไทย เกิดขึ้นในต่างบริบทหลากหลายกันไป

         **********************

          อันคำพูดของนักการเมือง คนไทยซึ้งที่สุดกว่าชาติใดในโลกว่า “เชื่อไม่ได้”

          เร็วๆ มานี้มีนักการเมืองใหญ่คนหนึ่ง ที่เพิ่งทำให้คนไทยซึ้งกับคำว่า “เลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต” ที่สุดท้ายก็ขอตระบัดสัตย์เพื่อชาติ 

          ทำให้อดนึกอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง ที่คนไทยทั้งรัก ทั้งไม่รักสุดๆ อย่างอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่รายนี้ก็เคยกล่าวไว้หลายต่อหลายครั้ง ว่า ตนจะยุติบทบาททางการเมืองเสียที!

          แต่เราคนไทยก็ยังได้เห็นว่ามันเป็นยังไงในวันนี้...

          อย่างไรก็ดี ในแต่ละครั้งที่เจ้าตัวระบุเอง หรือ ฝากคนใกล้ชิดมาบอกกล่าวกับคนไทย เกิดขึ้นในต่างบริบทหลากหลายกันไป

          หากแต่ในบริบทของวันนี้ที่เขาพูดไว้เมื่อ 7 ปีก่อน หรือตรงกับวันที่ 15 เมษายน 2555 เขาพูดในขณะที่น้องสาวคนสุดท้องของเขา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี บริบทเวลานั้นสำหรับชายชื่อทักษิณ จึงหอมหวล หวานชื่น ประหนึ่งว่าชัยชนะนี้จะยั่งยืน

          โดยเขากล่าวว่า ‘ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว มันหมดเจนเนอเรชั่นผมแล้ว’ บทสัมภาษณ์นี้ ถูกระบุว่าเกิดขึ้นในการให้สัมภาษณ์สื่อๆ หนึ่ง ซึ่งไปพูดคุยกับเขาถึงนครดูไบ

          ซึ่งช่วงเวลานั้น ประเทศไทยเพิ่งผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 หรือการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 26 ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 โดยพรรคเพื่อไทย มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ ทักษิณ ชินวัตร ลงสมัครเพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

 

15 เมษายน 2555 "ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว"

http://www.komchadluek.net/news/today-in-history/333028

 

          และอย่างที่รู้กัน ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง 265 ที่ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองในรอบทศวรรษที่มีพรรคการเมืองได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

          จึงไม่น่าแปลกใจที่ คนเป็นพี่ชายจะกล่าวอย่างหน้าชื่นตาบานเช่นนี้

          อย่างไรก็ดี หากย้อนรอยไปยังการกล่าวในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งสื่อมวลชนไทยมีการรวมรวมไว้และนำเสนอมาก่อน  ก็พบได้ว่า พี่แม้วของน้องปูเคยกล่าวแบบนี้มาหลายครั้งเหมือนกัน และแต่ละครั้งเกิดขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองไทยเป็นอย่างไรกันบ้าง

 

22 ตุลาคม 2549

          ‘ภายหลังลาออกจากหัวหน้าพรรคไทยรักไทยแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จะยุติบทบาททางการเมือง’

          นพดล ปัทมะ ในฐานะทนายความส่วนตัวได้เป็นตัวแทนกล่าวเรื่องนี้ ซึ่งก่อนหน้านั้น ดร.ทักษิณเพิ่งลาออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคไทยรักไทยในวันที่ 3 ตุลาคม 2549

          คำกล่าวนี้แน่นอนเกิดขึ้นหลังการทำรัฐประการ ยึดอำนาจ นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) ภายหลังเปลี่ยนมาเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

 

1 มกราคม 2551

          ‘ผมจะวางมือทางการเมือง 100 เปอร์เซ็นต์และจะคอยให้คำปรึกษาในฐานะผู้มีประสบการณ์เท่านั้น’ 

          คำกล่าวนี้ เกิดขึ้นระหว่างที่การเมืองกำลังจะเปลี่ยนข้าง โดยเวลานั้น แม้ว่า พรรคไทยรักไทย ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค ด้วยมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

          แต่แล้วเมื่อมีการดำเนินการจัดการเลือกตั้งใหม่ วันที่ 23 ธันวาคม 2550 ปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ซึ่งพรรคนี้ไม่ต้องพูดซ้ำว่าเป็นการรวมตัวกันจากเครือข่ายของพรรคไหน

 

15 เมษายน 2555 "ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว"

http://www.komchadluek.net/news/today-in-history/360397

 

          คราวนี้ สมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ท่ามกลางคำครหาว่าเขาเป็นนอมินีทักษิณ นั่นเอง

 

28 กุมภาพันธ์ 2551

          ‘การกลับมาวันนี้ผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเมือง....ผมขอเป็นประชาชนคนไทย ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ผมไปมาทั่วโลกไม่มีแผ่นดินไหนอบอุ่นเท่าเมืองไทย’

          คำกล่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับสู่ประเทศไทยครั้งแรกหลังถูกยึดอำนาจ โดยอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า พรรคพลังประชาชน ชนะเลือกตั้ง

          ทั้งนี้ ในวันนั้น ที่จริงมีช็อตเด็ดมากกว่าคำกล่าวนี้ ตรงที่เมื่อเครื่องบินเที่ยวบินทีจี 603 พา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ขณะนั้นยังไม่ถูกถอดยศ) อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางจากฮ่องกง ร่อนลงแตะพื้นรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ

 

15 เมษายน 2555 "ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว"

http://www.komchadluek.net/news/today-in-history/314885

 

         เมื่อเขาออกมาจากประตูห้องรับรองสนามบิน และครอบครัวได้โผเข้ากอดพร้อมกับร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ ท่ามกลางเสียงปรบมือและโห่ร้องด้วยความยินดีของผู้คนที่มาต้อนรับจำนวนมากแล้ว

          จนเมื่ออดีตนายกฯ เดินลงลิฟต์เพื่อออกประตูทางเข้าห้องรับรองพิเศษ ทันทีที่เดินผ่านประตูออกมาด้านหน้าห้องรับรองวีไอพี อดีตนายกฯได้คุกเข่าลง ก้มกราบพื้น สงบนิ่งอยู่หลายวินาที

          เป็นภาพที่ยังติดตาเรามาจนทุกวันนี้

 

 15 เมษายน 2555

          ‘ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว มันหมดเจนเนอเรชั่นผมแล้ว’

          คำกล่าวนี้อย่างที่เกริ่นไว้ว่า เขาพูดในขณะที่น้องสาวคนสุดท้องของเขา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยให้สัมภาษณ์สื่อขณะที่เขาหนีออกจากประเทศไทยไปพำนักยังนครดูไบแล้ว หลังถูกตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีที่ดินรัชดาฯ

          ซึ่งตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ขออนุญาต “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” เดินทางออกนอกประเทศไปเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2551 โดยระบุว่า จะเดินทางไปชม มหกรรมแข่งขันกีฬาของมวลมนุษยชาติ “โอลิมปิกเกมส์” ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วจะเดินทางกลับมาประเทศไทยในวันที่ 11 ส.ค. ในปีเดียวกัน แต่แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้เดินทางกลับมาสู่ผืนแผ่นดินแม่อีกเลย

         แม้ว่าตอนนั้น น้องสาวของเขาจะนั่งเก้าอี้นายกฯ แล้ว แต่การเดินทางกลับมาไม่ง่ายเหมือนปี 2551 อีกแล้ว

 

20 เมษายน 2557

          ‘พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว พร้อมเสียสละยุติบทบาททางการเมือง เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกัน ทุกฝ่ายต้องเสียสละ และยึดมั่นในกติกาเช่นกัน’

          “ถ้าทุกฝ่ายคืนความยุติธรรมให้ประเทศแล้วขอให้จบ จะให้คนตระกูลชินวัตรเลิกเล่นการเมืองก็พร้อม เพราะถ้าปล่อยไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ก็เสี่ยงเกิดความรุนแรง”

          อีกครั้งที่ นพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวกล่าวแทนนาย โดยเวลานั้นบ้านเมืองเต็มไปด้วยกระแสข่าวการเตรียมการที่จะก่อปฏิวัติรัฐประหารโค่นอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 

          ซึ่ง นักข่าวพยายามถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายครั้งหลายครา ขณะที่ท่านยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก โดยท่านก็ได้กล่าวในท่วงทำนองปฏิเสธมาตลอด อาทิเช่น

 

25 มีนาคม 2557

   “จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยกติกาไหน”

          วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางด้วยนั้น ว่า ต้องไปถามเขา เขาตั้งตนได้ไหม ถ้าตั้งไม่ได้แล้วจะมาถามตนทำไม แล้วถามจะไปเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยกติกาไหน และกติกาจะเกิดหรือไม่ตนก็ไม่รู้ แต่อย่าถามตนว่า ตนจะทำนั่นทำนี่หรือไม่ ตนไม่ตอบ เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตน ไม่ใช่เรื่องของตน

(ที่มา : 25 มี.ค. 2557, กรุงเทพธุรกิจ, ผบ.ทบ.อัดกลับข่าวนายกฯคนกลาง)

 

9 เมษายน 2557

          “จุดยืนกองทัพ ไม่เข้าข้างคนทำผิดกฎหมาย”

          วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณี สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ว่า “จุดยืนกองทัพในตอนนี้ คือ ไม่เข้าข้างคนทำผิดกฎหมาย และเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ DSI ก็ดำเนินการไปแล้ว ผมไม่ได้เข้าข้างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือใครทั้งนั้น เพราะทหารต้องทำหน้าที่ของทหาร ที่ทำอยู่ทุกวันไม่ใช่หน้าที่ แต่มาลงที่ทหารทั้งหมด จะรบกับศัตรูนอกประเทศก็ทหาร รบในประเทศก็จะใช้ทหาร เขียนไปเขียนมาให้ผมอยู่ข้างนั้นข้างนี้ ผมอยู่ข้างความถูกต้องเท่านั้น ภายใต้ความอดทนและทนอยู่ทุกวันนี้ ส่วนแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ต้องไปถามรัฐบาล”

          (ที่มา : 9 เม.ย. 2557, ประชาชาติธุรกิจ, ผบ.ทบ.ลั่นไม่เข้าข้าง “สุเทพ-ณัฐวุฒิ-จตุพร” ย้อนถาม “รัฏฐาธิปัตย์” คืออะไร ผิด กม.ต้องดำเนินคดี)

          ซึ่งที่สุด เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถ้าไม่ใช่การทำรัฐประหารของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ภายใต้สโลแกนคืนความสุข และ “เราจะทำตามสัญญา” โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ

 

15 เมษายน 2555 "ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว"

 

          ทั้งหมดนี้ มาถึงวันนี้ คนไทยเริ่มเกตกับคำว่า คำสัญญาปากเปล่าของนักการเมืองแล้วหรือยัง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ