คอลัมนิสต์

อย่าทำร้ายประชาชน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บทบรรณาธิการ นสพ.คมชัดลึก ฉบับวัน

 

 

          ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนกันหรือเปล่าว่า ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา "การเมืองไทย“ ไม่เคยมีแสงสว่างในปลายอุโมงค์ให้ได้เห็น โดยเฉพาะเรื่องของความ ”สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์“ ที่ใครต่อใครมุ่งหวังน่าจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไปวันๆ เท่านั้น..กลับกันถ้าเป็นเรื่อง ”อาฆาต มาดร้าย จองเวร ห้ำหั่น" เพื่อให้ฝั่งตรงข้ามล้มหายตายจากกันไปข้างนึงนั้น สิ่งนี้น่าจะเป็นภาพที่ชัดมากในการเมืองยุคปัจจุบัน..วันนี้ในสถานการณ์ที่ประเทศชาติกำลังบอบช้ำและต้องการความร่วมแรงร่วมใจของบรรดานักการเมืองไทยเพื่อพาประเทศให้พ้นจากปากเหวในเร็ววัน แต่จนแล้วจนเล่าการเมืองไทยและบรรดาผู้เล่นจากค่ายต่างๆ ก็ทำให้คนไทยเห็นว่า เราสามารถพึ่งพาพวกคุณได้จริงหรือ..?

 


          สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นหลายคนอาจค่อนแคะว่ามองโลกในแง่ร้าย และมีอคติกับ “การเมืองไทย” มากไป แต่เชื่อเถอะมันคือ “เรื่องจริง” และมันเปล่าประโยชน์ที่จะมัวมานั่งมองอะไรแบบโลกสวย โดยเฉพาะพฤติกรรมของนักการเมืองไทยนั้น คงไม่ต้องสาธยายให้เปลืองน้ำหมึก....แค่ช่วงหลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา คนไทยได้เห็นและสัมผัสกับการเล่นการเมืองในทุกรูปแบบ..ตลอดเวลากว่า 3 เดือนเราได้เห็นภาพความวุ่นวายของการเมืองไทยต่างๆ นานา ทั้งการห้ำหั่น ชิงดี ชิงเด่น ต่อรอง ยื้อแย่งเก้าอี้โดยยึดผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นหลัก ส่วน “ประเทศชาติ” รอไปก่อน


          นับตั้งแต่วันเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันคนไทยต่างเอือมระอาไปกับภาพการแย่งโควตารัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ ของบรรดานักการเมืองที่ไม่เคยสนใจว่าการกระทำเหล่านี้อาจทำให้ประเทศชาติกลายเป็นอัมพาตไม่สามารถเดินหน้าไปต่อได้ และเมื่อใครไม่สมหวังก็ออกมาตีโพยตีพายทวงสัญญา พร้อมยื่นคำขาดว่าอาจจะต้อง “ตีจาก” โดยใช้วาทะสวยหรูให้ดู “แพง” กับคำว่า “ฝ่ายค้านอิสระ” ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้ผล เพราะในสถานะรัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำ “ท่านผู้นำ” จะทำอะไรไปได้มากกว่าคำว่า “ยอมจำนน”


          ขณะเดียวกันการเมืองนอกสภาก็เล่นแรงกันถึงขนาดทำให้ “จำกันไปจนวันตาย” นักการเมืองสองฝั่งเลือกที่จะเดินหน้าเชือดคอศัตรูอย่างเลือดเย็นชนิดตาต่อฟันต่อฟันด้วยการเปิด “แผลเก่า แผลสด” หรือเรื่องที่เป็น “ชะนักติดหลัง” ติดตัวมาให้เจ็บแสบ หลายครั้งที่การเมืองใช้ “ศาลสถิตยุติธรรม” เป็นเครื่องมือห้ำหั่นฝ่ายตรงข้าม โดยไม่สนว่าความผิดพลาดเมื่อคราก่อนเกิดจากเจตนาดี หรือร้าย และหากไม่สมหวังดังใจคนเหล่านี้ก็จะใช้ความช่ำชองของ “ลมปาก” ออกมากดดันให้ร้าย “ศาล” ว่าตาชั่งเอียงบ้าง โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลทางข้อกฎหมายที่ศาลท่านแจกแจงให้ฟังอย่างครบถ้วนกระบวนความ

 

 

 

          แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องทำใจยอมรับได้ แต่คนไทยคงต้องทนอยู่กับมันไปอีกนาน.. แต่สิ่งนึงที่อยากจะฝากข้อคิดถึงบรรดา “นักการเมือง” ที่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมืองสักเรื่องหนึ่งคือ..วันนี้ปัญหาของประเทศชาติเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขเร่งด่วน และมิอาจรั้งรอได้อีกต่อไป และหาก “การเมืองไทย” ยังคงยึดติดกับผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวมแล้ว “บ้านเมือง” คงต้องบอบช้ำต่อไปอย่างไม่รู้จบ และคนที่รับผลกระทบจากผลร้ายดังกล่าวก็คงหนีไม่พ้น “ประชาชน”...อีกตามเคย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ