คอลัมนิสต์

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย... ทีมข่าวรายงานพิเศษ

 

 

 

          All human beings are born free and equal in dignity and rights.


          “มนุษย์ทุกคนเกิดมามีความเป็นอิสระและเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ”


          ข้อความข้างต้นเป็นบทบัญญัติแรกของ "ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน"(Universal Declaration of Human Rights) ที่องค์การสหประชาชาติยกร่างขึ้น เมื่อ พ.ศ.2490 หรือ 72 ปีที่แล้ว ตัวแทนจากประเทศไทยเป็น 1 ใน 48 ประเทศแรกของโลกที่ร่วมลงคะแนนเสียงรับรองข้อตกลงนี้ เพื่อให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติใช้เป็นแนวทางดูแลคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพลเมือง 

 

 

 

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน" “จารึกทรงกระบอก”(Cyrus cylinder)

 

 

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน"

 

          หนึ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ คือเป็นพลเมืองที่มีสิทธิในการได้รับความเป็นธรรมในการแสดงออกทางการเมือง ซึ่งสถานการณ์ในประเทศไทยวินาทีนี้ คือ


          ความรู้สึกว่าไม่ได้รับ "ความเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง"


          ตอนนี้คนไทยแทบทุกคน ไม่ว่าเป็นกลุ่มเชียร์พรรคบิ๊กตู่ หรือเชียร์กลุ่มพรรคเพื่อไทย ต่างรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จากการทำงานของ “กกต.” ที่มีผู้คนร่วมลงชื่อถอดถอนผ่านเว็บรณรงค์ Change.org ทะลุ 8 แสนคนแล้ว


          วินาทีนี้ไม่ว่า กกต.จะบอกตัวเลขอะไร พรรคไหนได้เท่าไร คงไม่มีใครอยากเชื่อถือมากนัก นอกเสียจากว่าจะยอมเปิดเผยข้อมูลโดยละเอียดของจำนวนคะแนนเสียงจากหน่วยเลือกตั้งทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 9 หมื่นกว่าหน่วยทั่วประเทศไทย

 

 

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน"

สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน ผู้ต้องหาคดีเหตุการณ์ระเบิดศาลอาญา เมื่อวันที่7มีนาคม2558ร้องเรียนว่าถูกซ้อมทรมานระหว่างการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก(ภาพจากFacebookศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน)

 


          หากคนไทยส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม หมายความว่าพวกเรากำลังโดนละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการไม่ได้รับความเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง


          ย้อนไปในอดีตการปกป้องคุ้มครอง “สิทธิมนุษยชน” ของประชาชน ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในโลกมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว จากเอกสารประวัติศาสตร์ “จารึกทรงกระบอก” (Cyrus cylinder) ที่พระเจ้าไซรัสมหาราช ผู้ก่อตั้งอาณาจักรเปอร์เซียสั่งให้จารึกไว้ เพื่อประกาศเลิกทาสและให้เสรีภาพพลเมืองในการเลือกนับถือศาสนาอย่างอิสรเสรี

 

 

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน"



          ใครสนใจอยากศึกษาเรื่องราวจารึกทรงกระบอกนี้แบบลึกซึ้ง คงต้องเดินทางไปดูด้วยตาตัวเองที่พิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษ (British Museum) เพื่อซึมซับความรู้สึกในจิตสำนึกสิทธิมนุษยชน แบบที่รัฐบาลไทยยังไม่ค่อยสนใจมอบให้พลเมืองของตัวเองมากนัก


          ล่าสุด ตัวแทนองค์การสหประชาชาติทนไม่ไหว ตั้งโต๊ะแถลงข่าวประกาศว่าไทยเป็น 1 ใน 38 ประเทศ ที่มี “พฤติกรรมน่าละอาย” เพราะไปละเมิดข่มขู่ ทำร้าย รังแก จับกุม ทรมาน กลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชน


          เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 สำนักข่าวอัลจาซีราเสนอข่าวคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) เผยแพร่รายงานการประชุมเกี่ยวกับ การประกาศรายชื่อ 38 ประเทศที่มีพฤติกรรมน่าละอาย (UN denounces ‘shameful’ reprisals on activists in 38 countries) เนื่องจากหน่วยงานรัฐในประเทศเหล่านี้มีพฤติกรรมไปจับกุมตัวหรือทรมานกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐโดยไม่มีพยานหลักฐาน

 

 

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน"

 


          รายงานข้างต้น ยกตัวอย่าง “ไมตรี จำเริญสุขสกุล” ถูกเจ้าหน้าที่ทหารไทยแจ้งความว่าทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะไปโพสต์เรื่องราวชาวบ้านที่ถูกทหารทำร้ายตบหน้า นายไมตรียังถูกคุกคามและข่มขู่ว่าจะฆ่าทิ้งด้วย หรือกรณีของ “อิสมาแอ เต๊ะ” เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานี ที่ถูกซ้อมทรมานในค่ายทหาร นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอย่างการใช้กฎหมายตั้งข้อหากลั่นแกล้งนักสิทธิมนุษยชนอีกหลายรายในประเทศไทยด้วย


          อดีตรัฐบาลทหาร คสช. รู้ดีว่าถูกต่างชาติจับตามองอย่างใกล้ชิด จึงพยายามประกาศนโยบายแก้ปัญหาเรื่องนี้ เช่น คำประกาศ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เน้นส่งเสริมสิทธิสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ กลุ่มชายขอบทั้งคนไทยและคนต่างด้าว มีคำสัญญาว่าจะเร่งแก้ไขกฎหมายให้ทุกคนได้รับสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน รวมถึงการชักชวนกลุ่มธุรกิจเข้าร่วมกับ “หลักการสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” (UN Guiding Principles on Business and Human Rights) ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจมีขั้นตอนการ “คุ้มครอง เคารพ เยียวยา” ผู้ได้รับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากภาคธุรกิจต่างๆ

 

 

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน"

 


          แต่ดูเหมือนนโยบายข้างต้นไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปี 2561 รัฐบาล คสช.ยังคงสอบตกเพราะล้มเหลวในการยกระดับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องการมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ให้ดีขึ้นด้วย


          หากพิจารณาจากสถิติคดีของ “ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน” ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2557 จนถึง 1 มีนาคม 2562 พบว่ามีทั้งหมด 176 คดี ให้ความช่วยเหลือรวม 356 คน แบ่งเป็น ชาย 247 คน หญิง 108 คน เพศทางเลือก 1 คน โดยขึ้นศาลพลเรือน 117 คดี ขึ้นศาลทหาร 59 คดี และอยู่ระหว่างสอบสวน 26 คดี อยู่ระหว่างพิจารณา 45 คดี อยู่ระหว่างอุทธรณ์/ฎีกา 16 คดี มีคดีถึงที่สุดแล้ว 89 ส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวข้องกับ มาตรา 112, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ


          ในวันนี้ “คนไทย” กำลังจะได้รัฐบาลใหม่แล้ว หลังรอคอยนานกว่า 5 ปี ไม่ว่าพรรคไหนจะขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล ก็คงต้องทำตามคำมั่นสัญญาเป็นนโยบายหาเสียงผ่านเวทีสาธารณะ ว่าจะต่อสู้เพื่อยกระดับสิทธิมนุษยชน แก้ไขความน่าอายของประเทศไทย

 

 

 

คนไทย เตรียมทวงสัญญารัฐบาลใหม่...แก้อาย "สิทธิมนุษยชน"


          ย้อนไปวันที่ 7 มีนาคม 2562 เครือข่ายปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งคนไทยและต่างชาติ จัดเวทีสาธารณะหัวข้อ “เปิดแนวคิดพรรคการเมืองกับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน” ในวันนั้นมีแกนนำพรรคการเมือง 5 พรรคมานำเสนอนโยบายในเรื่องนี้ของตัวเอง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคอนาคตใหม่ พรรคสามัญชน และพรรคมหาชน โดยให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าได้รับเลือกเป็น ส.ส. จะไม่ละทิ้งคำสัญญาเหล่านี้


          ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ “อลงกรณ์ พลบุตร” ที่กำลังเตรียมขึ้นแท่นเป็นพรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่ของบิ๊กตู่ ก็มาร่วมให้คำสัญญาด้วยเช่นกัน โดยเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนกับประชาธิปไตย อ้างว่าเป็นเหมือนเหรียญสองด้านที่ขาดกันไม่ได้ ถ้าพรรคได้รับเลือกเป็นรัฐบาลจะทำ 3 เรื่องสำคัญก่อนคือ 1.จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ ทำกรอบสิทธิมนุษยชนให้ครอบคลุมตามแนวทางทั้ง 21 ของยูเอ็น หรือองค์การสหประชาชาติ 2.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมครั้งใหญ่ เช่น ตำรวจ ให้เปลี่ยนระบบส่งตำรวจให้ไปขึ้นตรงกับจังหวัดโดยตรง 3.ปฏิรูปกฎหมายที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชนสากล


          ขณะที่ “วัฒนา เมืองสุข” ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ที่มีโอกาสลุ้นเป็นแกนนำรัฐบาลชุดใหม่เช่นกัน ได้เคยเสนอนโยบายสำคัญจะทำหลังเลือกตั้ง 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ (restore economy) 2.การคืนอำนาจให้ประชาชน (return power to the people) และ 3.การปฏิรูปอำนาจรัฐ (reform government authority) โดยเน้นแก้ไขกฎหมายละเมิดสิทธิมนุษยชน เน้นเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน เพราะระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักประกันหรือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ราคาถูกสุด


          "พรรคเพื่อไทยจะปฏิรูปองค์กรที่ละเมิดสิทธิมากสุด เช่น กองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม การยกเลิกเกณฑ์ทหารด้วย เพราะไม่สอดคล้องกับการป้องกันภัยคุกคามประเทศรูปแบบใหม่แล้ว ส่วนเรื่องความเท่าเทียมหญิงชาย หรือ กฎหมายแต่งงาน ก็จะให้เสรีภาพเต็มที่ เพราะคุณไปยุ่งอะไรกับพวกเขา ชายชอบชาย หญิงชอบหญิง มันก็เรื่องของเขา ไปหนักอะไรของคุณ ทำไมต้องเดือดร้อนด้วย เขาไม่ได้ทำให้ประเทศเสียหาย หรือกระทบความมั่นคงอะไร ผมจะเชิญคนที่เกี่ยวข้องมาถามว่าต้องการอะไร พรรคเพื่อไทยจะปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องหลักปฏิญญาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ" วัฒนากล่าวให้คำสัญญาในวันนั้น


          ขณะที่ พรรณิการ์ วานิช ตัวแทนพรรคอนาคตใหม่ ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 7 ของพรรคอนาคตใหม่ ว่าที่ ส.ส. อย่างแน่นอน ให้คำสัญญาว่า จะทบทวนประกาศและคำสั่งของ คสช.ทั้งหมด อันไหนที่ละเมิดสิทธิของประชาชนต้องยกเลิกและเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหาย และจะยกเลิกกฎหมายพิเศษที่ใช้ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เช่น กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯลฯ เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วกฎหมายเหล่านี้ไม่ได้ผล แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มเอาไปแสวงหาผลประโยชน์มิชอบ ผ่านไปสิบกว่าปีใช้งประมาณไปกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความสงบอย่างแท้จริง


          “เรื่องแรกๆ ที่พรรคอนาคตใหม่จะรีบทำถ้าได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาลคือ แก้ไขกฎหมายคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพราะให้อำนาจรัฐมากเกินไป และไปจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน เช่น ยึดคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล ที่จริงแล้วเนื้อหากฎหมายพวกนี้ต้องเน้นไปที่ป้องกันการทำลายระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่เน้นไปที่จับผิดเนื้อหาที่เผยแพร่ผ่านคอมพิวเตอร์ อย่าลืมว่า ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีไม่เกิด รัฐมีหน้าที่ปกป้องสิทธิของประชาชน ไม่ใช่ไปทำลายเสียเอง”


          “ปิยนุช โคตรสาร” ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ “คม ชัด ลึก” เกี่ยวกับคำสัญญาของตัวแทนพรรคการเมืองเกี่ยวกับ “การผลักดันสิทธิมนุษยชน” ว่า รู้สึกยินดีที่ผู้นำพรรคการเมืองมีนโยบายหรือคำมั่นสัญญาจะปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน เพราะ “ประชาธิปไตย” จะดำเนินไปได้ต้องควบคู่ไปกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เพราะถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่นำไปสู่การเข้าถึงสิทธิประการอื่นๆ ส่วนคำสัญญาของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติจัดทำ “กรอบสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” เพื่อให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญ 21 สิทธิตามแนวทางของสหประชาชาตินั้น ถือเป็นเรื่องน่ายินดี อยากเสนอให้แต่งตั้งบุคลากรจากหลายภาคส่วน รวมถึงภาคประชาสังคมเข้ามาทำงานร่วมกัน และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามการปฏิบัติงานได้อย่างอิสรเสรี


          “ในวันนั้นมีข้อเสนอให้สร้างกลไกคุ้มครองนักปกป้องสิทธิ ป้องกันการซ้อมทรมานและอุ้มหายด้วย เพราะที่ผ่านมามีการถูกโจมตี ข่มขู่ คุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ อยากให้รัฐบาลใหม่สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับนักปกป้องสิทธิ และควรมีมาตรกสนป้องกันการทรมานหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี โดยกำหนดเป็นกฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติงานของรัฐบาล รวมถึงการให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ”


          ห้วงเวลานี้...หากไม่เกิดวิกฤติความชอบธรรม “กกต.” ประเทศไทยคงจะได้รัฐบาลใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากนั้นคนไทยควรเตรียมตัวไปทวงถามสัญญา “พรรคการเมือง” ที่ได้รับเสียงโหวตจากพวกเราว่า เมื่อไรจะทำตามนโยบายหาเสียง ช่วยกู้หน้ากู้ศักดิ์ศรีให้ประเทศไทยหลุดออกจากรายชื่อประเทศที่มี พฤติกรรมน่าละอาย ในเรื่องสิทธิมนุษยชน ?


          รวมถึง การแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนประเด็น “การได้รับความเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง” ด้วย


          เพราะถือเป็นการ “ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” อย่างรุนแรง จนทำให้คนไทยที่แตกแยกเป็นหลายฝ่ายหลายสีอาจกลับมารวมพลังกันได้อีกครั้ง เพื่อเรียกร้องการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรมกว่านี้


          หรือที่สากลโลกเรียกว่า Free and Fair Elections

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ