คอลัมนิสต์

เลือกตั้ง(ตัวช่วย)"ลุงตู่" 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์... กระดานความคิด โดย... ร่มเย็น


 

          หลังจากสงวนท่าทีมานาน (ทั้งที่คนก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ร่อนสารเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่า “ผมขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”

 

 

          หากประเมินสถานการณ์การเมือง ณ ขณะนี้ ต้องถือว่า “ลุงตู่”  เป็น “เต็งหนึ่ง” ในการที่จะได้เป็นนายกฯ อีกสมัยหลังการเลือกตั้ง


          แต่ไม่ได้หมายความว่าพรรคพลังประชารัฐที่ “ลุงตู่” มีชื่อในบัญชีนายกฯ จะชนะเลือกตั้ง “เข้าวิน” เป็นที่ 1 เพราะในทางการเมืองก็รู้กันอยู่ว่า “พรรคเพื่อไทย” คงได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.เป็นอันดับ 1 ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ตั้งเป้าช่วงชิงที่ 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะแค่พรรคพลังประชารัฐ ได้ที่ 2 ก็สามารถจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเข้าที่ 3 และพรรคการเมืองขนาดกลางที่รอเสียบตั้งรัฐบาล โดยดัน “ลุงตู่” ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกฯ ได้อย่างง่ายดาย


          อย่างไรก็ตาม ยิ่งเกิดสถานการณ์หลังสุดที่ “พรรคไทยรักษาชาติ” ได้กระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ นอกจากจะทำให้คะแนนเสียงของ “พรรคไทยรักษาชาติ” หดหายแล้ว ยังส่งผลกระทบไปยังคะแนนเสียง “พรรคเพื่อไทย” ด้วย เหตุเพราะคนมองว่าพรรคไทยรักษาชาติ เป็นสาขาหรือเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย โดยดูจากแกนนำของพรรคไทยรักษาชาติหลายคน ย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย และการเดินเกมการเมือง ก็เป็นไปในลักษณะ “ซูเอี๋ย” กัน อย่างเช่น การที่พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัคร ส.ส. ลงแค่ 22 เขตเลือกตั้ง จากทั้งหมด 30 เขตเลือกตั้งใน กทม. โดยเว้นไม่ส่งใน 8 เขตเลือกตั้งที่พรรคไทยรักษาชาติส่งผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งทำให้พรรคพลังประชารัฐอาจฉวยโอกาสนี้แซงพรรคเพื่อไทย เข้าป้ายเป็นที่ 1 และหากพรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งเป็นที่ 1 “ลุงตู่” นั่งนายกฯ อีกสมัยแน่ !!  



 

          เมื่อวันก่อน  ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊ก บอกว่า มีถึง 11 เหตุผล ที่ต้องเลือก “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง อาทิ เป็นคนนำความสงบกลับสู่บ้านเมือง-กล้าตัดสินใจ-ไม่เป็นนอมินีใคร-รักประชาชนและประเทศชาติ 


          แต่ในขณะเดียวก็มี “เครือข่ายผู้รักความเป็นธรรม” โพสต์สวนทันควันว่า มีถึง 11 เหตุผลเช่นกัน ที่ไม่ควรเลือก “ลุงตู่” เป็นนายกฯ คนต่อไป อาทิ เผด็จการ ใช้วาจาหยาบคาย ขี้โมโห เล่นพวกพ้อง เอาเป็นว่าเป็นวิจารณญาณของแต่ละคนก็แล้วกันว่า “ลุงตู่” ควรเป็นนายกฯ ต่อไปหรือไม่ 


          มีเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่และถือว่าเป็นจุดอ่อนของ “ลูงตู่” ก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจ  ปัญหาปากท้องของของประชาชน เพราะตลอด 4 ปีเศษ ที่ “รัฐบาล คสช.” บริหารประเทศมา เศรษฐกิจไม่ดี ชาวบ้าน พ่อค้า แม่ค้า เดือดร้อนในการทำมากิน เงินขาดกระเป๋า เป็นหนี้สิน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำไม่ว่าจะเป็นยางพารา ราคาข้าวเปลือก ซึ่งสวนทางกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าครองชีพที่พุ่งพรวดไม่ยอมลดลง


          และไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง ดูได้จากผลโพลล์ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เอยูโพล สวนดุสิตโพล กรุงเทพโพล นิด้าโพล ฯลฯ เมื่อมีการสอบถามถึงสิ่งที่ “รัฐบาล คสช.” ล้มเหลวหรืออยากให้เร่งปรับปรุงมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างมักจะตอบเรื่อง “เศรษฐกิจ/ปากท้อง” เป็นอันดับหนึ่ง


          โดยเฉพาะของ “สวนดุสิตโพล” ที่มีการสอบถามถึง 8 ครั้ง ผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม คือรัฐบาลยัง “สอบตก” ไม่ผ่านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยคะแนนที่ค่อนข้างสูง คือระหว่าง 74-88%


          พล.อ.ประยุทธ์ เคยปรับ ครม.ครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจและขยับเก้าอี้รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่เป็นผล


          และเรื่องปัญหาเศรษฐกิจนี่เอง ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไม่อยากให้ “รัฐบาล คสช.” บริหารประเทศต่อไป และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง โดยหวังให้รัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหา


          ที่จริงแล้วรัฐบาล คสช. ก็ไม่อยากให้มีการเลือกตั้งสักเท่าไร เห็นได้จากมีการเลื่อนโรดแม็พเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง แต่ถึงเวลานี้ฝืนกระแสไม่ไหวเพราะขืนยื้อต่อไปม็อบคงออกมาอีกเยอะ


          อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจ ความเดือดร้อนเรื่องปากท้องของประชาชนที่เกิดขึ้น อาจไม่ใช่เพราะ “ลุงตู่” และคณะ ไม่มีฝีมือ แต่สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการทำ “รัฐประหาร”  


          เพราะว่าการที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนี่เอง ทำให้ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยึดมั่นในหลักการของประชาธิปไตย ถอยห่าง ไม่มาลงทุนในประเทศไทยอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจ “ลุงตู่” แต่มันเป็นเรื่องของ “หลักการ” และเมื่อทุนต่างชาติมีจำนวนเงินมหาศาล อีกทั้งคนไทยเราเองก็ไม่อยากลงทุนในภาวะบ้านเมืองที่ยังไม่ปกติ จึงทำให้เศรษฐกิจซบเซา


          การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเป็น "ตัวช่วย” พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอย่างดี เพราะหาก “ลุงตู่” ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะไม่มี “ชนัก” ในเรื่องที่ว่า เป็นเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตยอีกต่อไป ทั้งในและต่างประเทศก็พร้อมที่จะลงทุนทำมาค้าขายในประเทศไทย “ลุงตู่” ก็มีโอกาสโชว์ฝีมือในการบริหารประเทศอย่างเต็มที่ เพราะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตยต่อไปอีก   


          ถึงตอนนั้นก็จะได้รู้กันว่า “ลุงตู่” มีฝีมือมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นอีก ก็ชัดแล้วว่าเป็นเพราะใคร

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ