คอลัมนิสต์

2561 : "รุ่นใหญ่" ครองเมือง ?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บรรยากาศการตอนนี้เห็นชัดเจนว่าเป็นช่วงเวลาของ "รุ่นใหญ่" เพราะอะไร??

 

                   บรรยากาศการประชุมเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพรรคชาติพัฒนาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ต.ค.) ทำให้ภาพการเมืองยุคนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นว่าเป็นเวลาของ “รุ่นใหญ่” (บ้างเรียกรุ่นเก่า)

                   หลังจากสิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” พรรคชาติไทยพยายามปลุกปั้นคนรุ่นใหม่ “นิวบลัด” ขึ้นมาเป็นจุดขาย โดยมี “ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา” ลูกชายคนเล็กของนายบรรหารเป็นหัวหน้าทีม

                   ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการจัดทัพผู้บริหารชุด “นิวบลัด” ที่วางตัว “ท็อป” เป็นหัวหน้าพรรค “สิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ” นักการเมืองหนุ่มจากศรีสะเกษเป็นเลขาธิการพรรค และทีมหนุ่ม ได้แก่ลูกชายสองคนของสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล คนสนิทนายบรรหาร คือ “กรวีร์-ภราดร ปริศนานันทกุล”และ “เสมอกัน เที่ยงธรรม” ลูกชายจองชัย เที่ยงธรรม คนเก่าคนแก่อีกคนของพรรคชาติไทย

                   2 ปีที่ผ่านมาเหมือนจะมีแต่เสียงเชียร์จากคนในพรรคแต่หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังจะออกมาหน้าเวที จู่ ๆ ก็ถูกเรียกให้เปลี่ยนตัวกลางคันซะงั้น

                   จึงมีคำถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดรายการ “เบรกหัวทิ่ม”

                   รายของหัวหน้าพรรค ที่เปลี่ยนจาก “น้องท็อป” เป็น “พี่นา” กัญจนา ศิลปอาชา ลูกสาวคนโตของนายบรรหาร ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะ“หนูนา” ก็ไม่ได้ถือว่าอยู่ในกลุ่ม “เขี้ยวลากดิน” ซะทีเดียว ที่สำคัญเป็นทายาท “บรรหาร” เหมือนกัน

                   แต่พอหันไปดูเลขาธิการพรรคที่เป็น “ประภัตร โพธสุธน” วัย 69 ปี อดีตเลขาธิการพรรคคู่กับนายบรรหารตั้งแต่ยุคที่ยังเป็นพรรคชาติไทย ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัย

                   แกนนำคนหนึ่งของพรรคชาติไทยพัฒนา ยอมรับว่า สภาพที่อดีต ส.ส.ย้ายไปอยู่พรรคอื่นเป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และที่เป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” คือกรณีที่ “ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ” คนเก่าคนแก่อีกคนของพรรคที่อยู่กับพรรคนี้มาตั้งแต่ยุคพ่อ คือ “บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ”พาน้องชาย คือ “ชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ”หอบผ้าหอบผ่อนไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย

                   ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่ลงตัวในการจัดผู้สมัคร ส.ส.เขต หลังการแบ่งเขตซึ่งจำนวน ส.ส.ของสุพรรณลดไป 1 คน จาก 5 เขตเหลือ 4 เขตหลังการเจรจาให้ “ณัฐวุฒิ” ขึ้นไปเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ลงตัว จึงมีการเดินออกจากพรรคเกิดขึ้น

                   ในพรรคหวังกันว่าการกลับมาของ “รุ่นใหญ่” จะหยุดภาวะเลือดไหล ที่สำคัญสามารถดึงตระกูล “ประเสริฐสุวรรณ” กลับมาได้ แม้ตอนนี้จะยังไม่เห็นวี่แววว่าจะสำเร็จก็ตาม

                   “การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เพื่อรักษาพรรค และรักษาพื้นที่สุพรรณบุรี” แกนนำพรรคคนหนึ่งกล่าว และมีเสียงแว่วมาว่า หากไม่เปิดทางให้ “รุ่นใหญ่” กลับมา อาจมีการ “เดินออกจากพรรค” มากกว่านี้

                   “เดิมเราคิดว่าผู้ใหญ่จะวางมือ แต่เมื่อผู้ใหญ่จะกลับมา เราจึงปรับยุทธศาสตร์กันใหม่”แกนนำคนเดิมกล่าว

                   ทั้งนี้ในคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่นี้ไม่มีชื่อทีม “นิวบลัด” อยู่เลย โดยมีการวางให้ทีมนี้ไปเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเช่นเดียวกับแนวทางของพรรคเพื่อไทยที่จะให้ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค โดยอ้างว่าหากพรรคถูกยุบจะได้ไม้ถูกตัดสิทธิ์ไปด้วย แต่จะให้มีบทบาทนำในการดำเนินการกิจกรรมต่างๆในนามพรรค ซึ่ง “ท็อป” จะเป็นประธานทีมยุทธศาสตร์

                   วกกลับมาที่ “รุ่นใหญ่” ทางการเมือง ที่กลับมาเข้ามามีอิทธิพลต่อการเมืองยุคนี้

                   เฉพาะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากรุ่นใหญ่อย่าง “ประภัตร” จะกลับมาเป็นเลขาธิการพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคล้วนแต่เป็นอดีต ส.ส.รุ่นใหญ่ทั้งนั้น รวมถึง “ตระกูลสะสมทรัพย์” ตระกูลเก่าทางการเมืองที่ส่ง “อนุชา สะสมทรัพย์” มาเป็นรองหัวหน้าพรรค

                   ในการเลือกตั้งครั้งนี้ กลุ่มสะสมทรัพย์ โดนเทียวไล้เทียวขื่อจากทั้งฝ่าย คสช. และฝ่ายเพื่อไทย โดยวันดีคืนดี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ปกติไม่ค่อยปรากฏว่าไปออกรอบตีกอล์ฟที่ไหนก็บังเอิญไปออกรอบที่ถิ่นของตระกูลนี้ และต่อมาแกนนำพรรคเพื่อไทยก็ยกก๊วนกอล์ฟไปที่สนามนี้เช่นกัน

                   มีสัญญาณออกมาชัดเจนว่าเพื่อไทยพยายามจะดึงตระกูลนี้ไว้ แต่สุดท้ายแม้ตระกูลสะสมทรัพย์ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเข้าค้นบ้านจาก

                   ปฏิบัติการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในยุค คสช. จะไม่ย้ายไปสังกัด “พรรคพลังประชารัฐ” ของฝ่าย คสช.โดยตรง แต่ก็เลือกที่จะผละจากเพื่อไทย ซึ่งก็ไม่ถือว่า “ขัดใจ” ฝ่าย คสช. ซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ทำให้พรรคเพื่อไทยเล็กลง

                   “รุ่นใหญ่” ที่อาจจะทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนี้ ก็คือ “กลุ่มสามมิตร” ที่มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” และ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นแกนนำ ส่วนมิตรคนที่สามที่ตอนแรกมีการเปิดออกมาว่าเป็น “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. แต่ตอนหลังมีความพยายามปฏิเสธว่าไม่ใช่ ขณะที่สมคิด พยายามเก็บเนื้อเก็บตัว กันตัวเองออกจากพรรค

                   ที่ผ่านมาทั้งสมศักดิ์ และสุริยะ ต่างก็มี “บาดแผล” ในข้อหาทุจริตแต่วันนี้กลับมามีบทบาท แถมเป็นบทบาทที่ใครๆก็เข้าใจว่าฝ่ายผู้มีอำนาจ “รู้เห็นเป็นใจ”

                   อีกตระกูลที่สร้างความฮือฮาให้การเมืองยุค คสช. คือ “ตระกูลคุณปลื้ม” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ อ้าแขนรับไปช่วยงานในทำเนียบ และสุดท้ายจบที่ใช้มาตรา 44 ตั้ง “สนธยา คุณปลื้ม” ไปเป็นนายกเมืองพัทยา ส่วน “อิทธิพล คุณปลื้ม” ผู้น้อง เข้าไปเป็นผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ

                   ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ ยังมีนักการเมืองรุ่นเก่า อดีต ส.ส.สอบตกอีกมากมายหลายกลุ่ม จับมือรวมตัวกัน บ้างรวมกันไปตั้งพรรค บ้างตัวตัวกันไปต่อรองกับพรรคการเมืองที่ต้องการเก็บคะแนนไปคำนวณเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์

 

2561 : "รุ่นใหญ่" ครองเมือง ?

                   เหตุผลหนึ่งที่นักการเมืองรุ่นนี้กลับมาได้ เพราะส่วนใหญ่ผ่านพ้นช่วงที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองจากการยุบพรรคแล้ว ทั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109

                   อีกสาเหตุ คือ กติการัฐธรรมนูญใหม่ที่เปิดช่องให้พวกเขากลับมา...ครองเมือง !!

 

===================

โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ