คอลัมนิสต์

ปัญหา "โรฮิงญา" กับบทบาทของอาเซียน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์ - รู้ลึกกับจุฬาฯ

 

            ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเมียนมาร์กับชาวโรฮิงญากลับมาเป็นประเด็นในเวทีโลกอีกครั้งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) มีคำสั่งสอบสวนทางการเมียนมาร์ว่าได้ก่ออาชญากรรมกับมนุษยชาติจากการใช้ความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญา ซึ่งประเด็นดังกล่าวนำไปสู่กระแสที่มีความเห็นขัดแย้งกันจากสองฝ่าย

             ฝ่ายแรกที่ผลักดันให้มีการลงโทษทางการเมียนมาร์ ระบุว่าข้อหาที่เมียนมาร์กระทำต่อชาวโรฮิงญามีทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ (Ethnic Cleansing) ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ มีการเผยแพร่รายงานความรุนแรงในพื้นที่รัฐยะไข่ว่ามีทั้งการฆาตกรรม เผาหมู่บ้าน และข่มขืน ขณะที่ฝั่งทางการเมียนมาร์ปฏิเสธการกระทำดังกล่าว

           ผศ. ดร. ธีระ นุชเปี่ยม ที่ปรึกษาศูนย์แม่โขงศึกษา และผู้ทรงคุณวุฒิหลักสูตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างเมียนมาร์และโรฮิงญามีความสลับซับซ้อนมายาวนาน เป็นความเกลียดชังระหว่างสองชาติพันธุ์ที่หยั่งลึกมาหลายร้อยปี

            อาจารย์ธีระเล่าถึงความเป็นมาของความขัดแย้งนี้ว่า พื้นที่รัฐยะไข่เป็นพื้นที่ติดกับบังกลาเทศ (เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย) ในอดีตพื้นที่นี้ได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมจากอินเดีย และเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอ่าวเบงกอล ทำให้พื้นที่รัฐยะไข่เป็นแหล่งการค้าสำคัญของพ่อค้าชาวเปอร์เซียและอาหรับเข้ามาปะปน ตั้งรกรากทำมาหากินอยู่

                ขณะเดียวกัน รัฐยะไข่เองก็เป็นรัฐเอกราช เพราะอยู่พื้นที่ห่างไกล อาณาจักรพม่าไม่สามารถตีและยึดเมืองขึ้นได้โดยง่าย รัฐยะไข่จึงมีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งก็ได้รับอิทธิพลจากทั้งพุทธศาสนาและศาสนาอิสลามที่มาจากชาวเบงกอลที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐ

            “คนเบงกาลีที่อยู่ในรัฐยะไข่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เริ่มมีการกระทบกระทั่งกันมากตอนที่อังกฤษเข้ามายึดพม่า อังกฤษสนับสนุนให้คนอินเดีย คนเบงกอลซึ่งเป็นเมืองขึ้นเหมือนกันเข้ามาทำงานสารพัดอย่าง ผมเข้าใจว่าประชากรที่เรียกว่าโรฮิงญาน่าจะเข้ามาช่วงนี้ แต่เขาก็อ้างว่าเขาเป็นประชากรดั้งเดิมตั้งแต่ก่อนนู้น ก็ไม่ชัวร์ว่าเป็นพวกดั้งเดิมหรือที่เข้ามาใหม่”

           ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติที่อาจารย์ธีระอธิบายเกิดขึ้นเนื่องจากชาวโรฮิงญา ไม่สามารถกลมกลืนเข้ากับสังคมพม่าได้ ชาวพม่าเองก็เรียกชาวโรฮิงญาว่าคนเบงกาลี เป็นคนไร้สัญชาติที่ถูกมองว่าเข้าเมืองผิดกฎหมาย ไม่ได้ใช้คำว่า “โรฮิงญา” ที่เชื่อกันว่ามีความหมายว่า “มาจากอาระกัน (ยะไข่)” ซึ่งชาวโรฮิงญาระบุว่าเป็นดินแดนดั้งเดิมของตน

           “ชาวพม่ามีความขมขื่นกับชาวเบงกอล ชาวอินเดียอยู่แล้ว เพราะแต่เดิมชาวอินเดียที่เข้ามาทำงานในพม่า มีความสามารถด้านการเงินก็เป็นนายทุนเงินกู้ ชาวพม่าก็เป็นหนี้เป็นสิน นานๆ เข้าไปก็เป็นการเกลียดชังทางเชื้อชาติ มีการจลาจลหลายครั้ง” แม้ปัจจุบัน ความเกลียดชังดังกล่าวก็ยังถูกปลุกระดมผ่านความคิดชาตินิยม ต่อต้านมุสลิม จนฝังรากลึกในความคิดของชาวพม่า

           อาจารย์ธีระกล่าวว่า เหตุการณ์ความรุนแรงล่าสุดที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ เมียนมาร์อ้างว่ามีขบวนการก่อการร้ายในชื่อกองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน (ARSA) โจมตีหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ ทำให้รัฐต้องปราบปราม ตามมาด้วยเหตุการณ์ความรุนแรงจนเกิดวิกฤติผู้อพยพหลายแสนคน

           “สถานการณ์นี้เป็นเหมือนสถานการณ์ Dead End กองทัพพม่าเองก็ต้องสร้างความนิยมในประชาชน เพราะความเกลียดชังมันฝังลึก แล้วมันแก้ไม่ได้ ตอนนี้มีปัญหาเฉพาะหน้า ผู้อพยพเป็นล้านคนจะจัดการอย่างไร ประเทศมุสลิมอื่นๆ เขาก็ไม่ไหวถึงจะเป็นศาสนาเดียวกัน อย่างบังกลาเทศเขาก็มีปัญหาภายในประเทศ เขาก็รับไม่ไหวผู้อพยพเป็นแสนๆ คน”

          ทางออกของปัญหานี้ยังคงต้องแสวงหาต่อไป แต่สำหรับภูมิภาคอาเซียนที่เมียนมาร์เป็นหนึ่งในสมาชิก อาจารย์ธีระเชื่อว่าคงอยู่เฉยไม่ได้ และน่าจะหาแนวทางอะไรบางอย่าง แม้ว่าอาเซียนจะมีหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศสมาชิกก็ตาม

          “ผมขออ้างคำพูดวันก่อนที่คุณสุทธิชัย หยุ่นคุยกับท่านมหาเธร์ของมาเลเซีย ท่านพูดไว้ดีมากว่า การไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศเป็นเรื่องดีสำหรับอาเซียน แต่ก็มีบางระดับที่เกินเลยทำให้อาเซียนก็วางเฉยไม่ได้ เช่นเรื่องมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนถึงระดับล้างเผ่าพันธุ์” ซึ่งอาจารย์ธีระชี้ว่าประเทศมุสลิมในอาเซียน ทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซียคงจะมีการปฏิบัติการอะไรบางประการในอนาคตอันใกล้

   

      อย่างไรก็ดี ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในปี 2562 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ ก็ควรมีปฏิบัติการบางอย่าง เช่นการอำนวยความสะดวก เมื่อมีการเจรจาหาทางออกของปัญหานี้หากมีการพูดคุยเกิดขึ้น ซึ่งอาจารย์ธีระแจงว่า เป็นหน้าที่ของไทยที่จะต้องหาทางอำนวยความสะดวกให้การเจรจาเป็นไปได้อย่างราบรื่น

           “ผมเชื่อว่าอาเซียนคงวางเฉยไม่ได้ ควรทำอะไรบางอย่างเพราะประชาคมโลกคงทำได้แค่วิธีการโดดเดี่ยว กดดันประเทศ ซึ่งไม่ได้ผลแน่นอนเพราะพม่าเขาปิดประเทศมา 50 ปี เขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยวจริง อาเซียนซึ่งมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันควรร่วมกันหาทางออก และก็ควรรีบดำเนินการก่อนที่ฝั่งตะวันตกจะเข้ามายุ่งวุ่นวายจนเกิดความร้ายแรงมากกว่านี้”

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ