คอลัมนิสต์

อนาคต “ทีวีดิจิตอล” ตามรอย “ไทยทีวี ” ?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

หลังจาก "เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล" ชนะคดีที่ฟ้อง กสทช. ต่อศาลปกครอง เกิดคำถามตามมาว่า...อนาคตกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล จะเดินตามรอย บอกเลิกสัญญาได้หรือไม่?

            13 มี.ค.2561 นับเป็นวัน พลิกชะตา‘ทีวีดิจิตอล’ทีเดียว เมื่อ‘ศาลปกครองกลาง’ มีคำพิพากษา ผ่าทางตัน ให้เห็นทางออก เรื่องการใช้สิทธิบอกเลิกใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ทีวีดิจิตอล ที่ปัจจุบัน คณะกรรมการ กสทช.–สำนักงาน กสทช.'อนุญาตให้ประกอบการทีวีระบบดิจิตอล รวม 24 ช่อง

           โดย‘ศาลปกครองกลาง’ตัดสินให้เจ้าแม่วงการบันเทิง อย่าง‘เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล’นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย ปธ.กก.บจก.ไทยทีวี ที่ทุบกระปุกควักเงินทุนร่วม 2,000 ล้านบาท ประมูลทำทีวีดิจิตอล 2 ช่อง คือช่องรายการเด็ก ชื่อ‘MVTV FAMILY’ในราคาชนะประมูล 648 ล้านบาท และช่องข่าว ชื่อ‘ไทยทีวี’ราคาชนะประมูล 1,328 ล้านบาท ชนะคดี ที่ยื่นฟ้อง‘คณะกรรมการ กสทช.–สำนักงาน กสทช.’สั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.59 ไม่ชอบ

           ‘คำพิพากษาศาลปกครองกลาง' ที่ได้ผ่าทางตัน ข้อพิพาทระหว่าง ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล กับ กสทช. องค์กรอิสระผู้มีอำนาจจัดสรรคลื่นความถี่ มายาวนานนั้น แสดงให้เห็นว่าอะไรที่ทำได้–ทำไม่ได้บ้าง?

           แต่ก็เกิดคำถามตามมาว่า...อนาคตกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล จะตามรอย‘เจ๊ติ๋ม-ไทยทีวี’บอกเลิกสัญญาได้หรือไม่?

           คำตอบ คือ'คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง'จริงๆ แล้วเป็นคำตัดสินที่่่ยังไม่ถึงที่สุดตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมายฟ้องคดีปกครอง เพราะคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายยังยื่นอุทธรณ์ได้

            แต่แม้ว่าคดียังไม่ถึงเป็นที่สุด แต่แนวทางที่‘ศาลปกครองกลาง’มีคำพิพากษาออกมานี้ ได้ชี้ชัดให้เห็นถึงประเด็นสำคัญ 6 ข้อ

            1.ข้อพิพาทระหว่าง ‘ไทยทีวี’ กับ ‘กสทช’ เป็นเรื่องสัญญาทางปกครอง 

            2.ผู้ประกอบการ มีสิทธิโดยสุจริตที่จะบอกเลิกการประกอบกิจการหรือสัญญา ได้ก่อนสิ้นสุดระยะเวลา 

            3.เมื่อใช้สิทธิบอกเลิกการประกอบกิจการแล้ว ก็ต้องคืนคลื่นความถี่ที่เคยได้รับอนุญาต ให้‘กสทช.–สนง.กสทช.’ด้วย โดยผู้ประกอบการนั้น ไม่มีสิทธิเผยแพร่ออกอากาศทีวีดิจิตอลได้อีกต่อไป

           4.เมื่อได้บอกเลิกการประกอบกิจการโดยชอบแล้ว  ผู้ประกอบการก็ไม่มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีในงวดหลังจากการบอกเลิกสัญญาแล้ว

           5.เมื่อได้บอกเลิกการประกอบกิจการโดยชอบแล้ว‘กสทช.’ก็ไม่มีสิทธิยึดแบงก์การันตี มาชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปี ยกเว้นในส่วนที่ค้างชำระตามงวดที่ต้องจ่ายระหว่างการประกอบกิจการ 

          และ 6.ในส่วนผู้ประกอบการ ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้‘กสทช.’ต้องจ่ายค่าเสียหาย ที่จะอ้างเป็นรายได้จากโฆษณาได้

          ดังนั้น ถ้าผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล เกิดประสบภาวะขาดทุน จากการทำธุรกิจทีวีที่มีการแข่งขันกันทั้งรายใหม่-รายเก่าแล้ว คิดว่าเดินมาสุดทาง ไม่มีทุน ทำต่อไปไม่ไหวแล้วจะทิ้งกลางคัน จะอ้างเหตุแผนแม่บท กสทช. ล่าช้า แล้วเดินตามรอย‘ไทยทีวี’มาบอกเลิกสัญญา ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องดูรายละเอียดกันเป็นรายคดีไป เพราะห้วงเวลา รวมทั้งการปฏิบัติของคู่สัญญาสัมปทานแต่ละเรื่อง อาจแตกต่างกัน 

          ซึ่งการใช้สิทธิบอกเลิกประกอบกิจการ ก็ต้องเน้นว่า เป็น‘การใช้สิทธิโดยสุจริต’หากมีนัยยะ เจตนาแอบแฝง จากการฉ้อฉล เพียงเพราะเจ้าของธุรกิจ ตัดสินใจผิดพลาดเองในการดำเนินกิจการต่อไป ผลการบอกเลิกสัญญา อาจจะไม่ได้มีผลเหมือนกรณี‘ไทยทีวี’ทุกประการ

          แต่ที่แน่นอน...ขณะนี้ข้อสังเกตจากคำพิพากษา 6 ข้อ ที่ว่าข้างต้น จะใช้นำทาง “ทีวีดิจิตอล” ให้เดินไปได้อย่างตรงทาง 

           อย่างไรก็ตาม ในส่วน กสทช. ไม่ยอมจำนนง่ายๆ เพราะในทางปฏิบัติเมื่อมี‘คำพิพากษาศาลปกครอง’จะนำมาสู่การสร้างบรรทัดฐานการปฏิบัติงานของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นเมื่อกฎหมายยังให้อุทธรณ์คดีได้‘กสทช.’ย่อมจะสู้สุดทางเพื่อแนวทางที่ชัดเจนที่สุด 

            โดยจะอุทธรณ์แน่ หนึ่งในนั้น คือ ประเด็นที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า “ข้อพิพาทภาระผูกพันการออกใบอนุญาตระหว่าง ไทยทีวี กับ กสทช. เป็นสัญญาทางปกครองเรื่องบริการสาธารณะแทนรัฐในการใช้คลื่นความถี่ที่เป็นสมบัติของชาติ ที่เมื่อบอกเลิกสัญญาระหว่างกันแล้ว สิทธิแต่ละฝ่ายกลับคืนดังเดิม

              คือ การคืนคลื่นและค่าธรรมเนียมที่ยังไม่ได้ใช้บริการ” ว่าเป็นเรื่องการออกใบอนุญาตทั่วไปของหน่วยงานรัฐที่อนุญาตให้กับเอกชน เพื่อดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น การขออนุญาตก่อสร้างตึก-อาคาร ที่หน่วยงานรัฐเป็นผู้อนุญาตเพียงฝ่ายเดียว และเมื่อได้ออกใบอนุญาตแล้ว เอกชนต้องรับภาระเองในการดำเนินงานทั้งหมด

             แต่ถ้าดูจาก‘คำพิพากษาศาลปกครองกลาง’ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น เกือบเรียกได้ว่า‘กสทช.’แพ้ทุกทางไปแล้ว... ส่วนเมื่ออุทธรณ์ต่อก็ต้องรอดูว่า ผลจะออกมาเหมือนเดิมหรือไม่

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ