คอลัมนิสต์

คนไทยต้องรู้ทันการเมืองไทย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์ - รู้ลึกกับจุฬาฯ

 

                  เริ่มต้นปีใหม่ 2561 ด้วยกระแสข่าวการเมืองเรื่องการเลือกตั้ง และข่าว “นายกฯ” ที่มีกระแสลือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสืบทอดตำแหน่งนี้ต่อ ภายหลังประกาศตัวว่าเป็นนักการเมือง ทำให้หลายฝ่ายเชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์น่าจะเข้าสู่สนามการเมืองในที่สุด ขณะเดียวกันมีพรรคการเมืองใหญ่พยายามร่วมมือสกัดการเข้ามาของนายกฯ คนนอก

                แต่จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คือสิ่งที่ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุจิต บุญบงการ อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเมืองการปกครองไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า คงต้องอดใจรอเพื่อให้มีประกาศชัดเจน และมีความแน่นอนมากกว่านี้ เช่น ประกาศเลือกวันเลือกตั้ง และพรรคที่เข้าร่วมการเลือกตั้งในครั้งที่จะถึงนี้

               “ถ้าถามผมตอนนี้ว่าความเป็นไปได้เรื่องนายกฯ คนนอก หรือการเลือกตั้ง ผมขอไม่ออกความเห็นนะ เพราะมันจะสร้างความยุ่งยากและความสับสนแก่ประชาชน มันไม่ดีต่อบ้านเมือง และผมไม่เห็นด้วยกับการพูดถึงข้อมูลคาดคะเน เพราะการเมืองไทยไม่มีความแน่นอน และไม่ได้เปิดช่องชัดเจนว่าใครจะเป็นนายกฯ”

                อาจารย์สุจิตบอกต่อว่า ให้อดทนรอให้ถึงจุดที่บอกได้ชัดเจน เพราะการเลือกตั้งที่จะเกิดต้องมีแน่ แต่จะต้องวิเคราะห์หลังมีประกาศที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการสอบถามอาจารย์สุจิตว่าเมื่อมองย้อนกลับไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง อาจารย์สุจิตกลับมองว่าคงต้องมองในระยะยาวเพราะมองแค่ 3 ปีไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด

              “คงตอบได้ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถสร้างความชอบธรรมได้ต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เกิดช่องโหว่และการยึดอำนาจ แต่ที่ลุ่มๆ ดอนๆ กันมา 60–70 ปีมานี้ สื่อให้เห็นว่าภาคประชาชนยังอ่อนแอ และกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอิทธิพลและผู้มีอำนาจ”

             ในทัศนะของผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองไทยและมีประสบการณ์ด้านการเมืองการปกครองมากว่าสี่ทศวรรษ อาจารย์สุจิตเชื่อว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจ หรือนักการเมืองกับประชาชนไม่มีการพัฒนาในรูปแบบที่ทำให้ประชาชนเป็นตัวของตัวเอง ลำพังการแก้กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้ผู้ปกครองประเทศที่ดีขึ้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอย่างเพียงพอ

               “ประชาชนต้องตื่นตัว ยืนบนขาตนเอง หรือมีสำนึกของการมีส่วนร่วมในฐานะพลเมืองมากขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่ถูกชักนำ และต้องตื่นตัวเพราะตัวเองตื่น ไม่ใช่เพราะถูกกระแสหรือถูกคนอื่นชักจูง ทุกวันนี้คนไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น แต่ก็ไม่มากพอที่จะหลุดจากผู้มีอิทธิพล”

              ปรากฏการณ์ที่อาจารย์สุจิตวิตกกังวล คือการเข้ามาของโลกอินเทอร์เน็ตและนวัตกรรมโซเชียลมีเดียที่กลายเป็นสื่อใหม่สำหรับประชาชนไว้ใช้ติดตามข่าวสารและแลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็น จะกลายเป็นเครื่องมือชักจูงและปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าจะให้ข้อเท็จจริงและเหตุผลในแง่มุมต่างๆ ที่ประชาชนจะนำไปคิดวิเคราะห์ วิพากษ์ และสรุปเป็นความคิดของตัวเอง

           ปัญหาอยู่ที่ว่าวิจารณญาณของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย มีมากน้อยแค่ไหน เพราะคนไทยรับรู้เทคโนโลยีเหล่านี้เร็วมาก และมีหลายกรณีที่ไม่ได้ใช้วิจารณญาณมากพอในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลหรือแหล่งข่าวที่มีการเผยแพร่

            “พอในโซเชียลมีข่าวลง คนจะเชื่อทันที ถึงแม้จะมีข่าวผิด และลงแก้ภายหลัง แต่ก็เชื่อไปแล้ว นี่รวมไปถึงพวกบทความสุขภาพ กินอันนี้ดี หายมะเร็ง พวกนี้อันตรายอย่างยิ่ง เพราะคนไทยไม่ชอบอ่านอะไรลึกซึ้ง โซเชียลมีเดียพวกนี้อ่านง่าย เปิดปุ๊บเชื่อปั๊บ”

             อาจารย์สุจิตกล่าวว่า ต้องมีการสร้างระบบการศึกษาแบบใหม่ให้คนไทยมีวิจารณญาณในการรับข่าวสาร และทักษะในการแสวงหาความรู้วงกว้าง รวมไปถึงเรื่องการเมือง ขณะเดียวกันสื่อเองก็ต้องทำหน้าที่แสวงหาข้อมูลเชิงลึก และนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องไม่บิดเบือน

           หากประชาชนมีความรู้ทันการเมือง เช่นประเทศหลายๆ แห่งที่พัฒนาแล้ว ประชาชนและผู้มีอำนาจจะมีความเท่าเทียมกัน ผู้มีอำนาจไม่มองว่าประชาชนต่ำกว่า และร่วมมือกันพาประเทศเดินไปข้างหน้าได้

             “ในสหรัฐที่คนผิวดำมีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมาได้ไม่ใช่เพราะคนขาวใจดีสนับสนุนคนดำนะ แต่คนดำต้องลุกขึ้นมาต่อสู้บีบให้ผู้มีอำนาจต้องฟัง มีผู้นำที่ไม่ใช่นักการเมืองและไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองออกมาเรียกร้อง เป็นการต่อสู้ด้วยความเท่าเทียมกัน”

            แต่ในกรณีของไทยจะเป็นไปได้ถึงระดับไหน และเมื่อใดยังคงเป็นข้อสงสัยที่รอคำตอบ แต่อาจารย์สุจิตเชื่อว่ายังไม่ต้องเป็นห่วงว่าสังคมจะเกิดการล่มสลาย เพราะสังคมไทยมีการปรับตัวและมีพลวัตตลอด ไม่ล่มสลายง่าย เพียงแค่ไม่ได้ราบรื่น จะมีความขัดแย้งและการต่อสู้กันเป็นเรื่องธรรมดา หากแต่การพัฒนาไปสู่เป้าหมายของประชาธิปไตยที่ยั่งยืนย่อมอาศัยเรื่องการสร้างความเท่าเทียมและการสร้างสำนึกแห่งพลเมืองเป็นปัจจัยสำคัญด้วย

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ