คอลัมนิสต์

“อภิสิทธิ์” กับบทบาทพี่เลี้ยงแนะแนววัยรุ่น สู่ “ความฝัน”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อ “อภิสิทธิ์” สวมบทแนะแนววัยรุ่น มาดูกันเขาจะแนะเรื่องอะไร

ถ้าพูดถึงชื่อของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” บทบาทหนึ่งที่หลายๆคนจะคิดถึง คือหน้าที่ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี และประเด็นที่เขาพูดออกสื่อก็มักจะเป็นเรื่องการเมืองหนักๆ หรือไม่ก็เวลาเป็นวิทยากร หัวข้อการพูดของเขาก็คงไม่พ้นเรื่องการเมืองการปกครอง 

เมื่อไม่นานมานี้ “อภิสิทธิ์” ได้รับทาบทามให้เป็นวิทยากรพูดในหัวข้อ “ภาวะผู้นำยุคไทยแลนด์ 4.0” ที่โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลกเลยถ้าเป็นการอบรมให้คุณครู หรือผู้ใหญ่ฟัง แต่นี่เป็นการบรรยายให้เด็กมัธยมปลายที่เข้าอบรมนักเรียนแกนนำชั้น ม.4 - 6 ถือเป็นช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ และบางคนเองก็กำลังจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง 

จึงน่าสนใจว่า "นักการเมืองใหญ่" จะพูดเรื่องอะไรให้กับพวกเขาฟัง โดยเฉพาะในยุคที่นักการเมืองถูกทำให้มองในแง่ลบมากกว่าบวก

  

**ความฝันในวัยเด็กของ “อภิสิทธิ์”

“ตอนเด็กๆผมเคยมีความคิดอยากจะเป็นคุณหมอตามพ่อ และด้วยนามสกุลเวชชาชีวะ ที่เกี่ยวกับการแพทย์ทำให้รู้สึกได้ว่า ต้องไปทางนั้นให้ได้ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเปลี่ยนโลกทัศน์คือเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 ขณะนั้น 9 ขวบ ยังไม่เคยสนใจเรื่องการเมือง แต่ด้วยภาพของคนหนุ่มสาวที่ออกมาเคลื่อนไหว ทำให้ผมเริ่มสนใจเรื่องการเมือง ทั้งๆที่เมื่อก่อนคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว” อดีตนายกรัฐมนตรีเริ่มเล่า หลังจากที่คำถามแรกถูกยิงมาจากพิธีกรถึงความฝันในวัยเด็ก

เขายังเล่าต่อไปว่า ตอนนั้นตนเริ่มที่จะฟังการอภิปรายในรัฐสภา ซึ่งตอนนั้นก็เป็นช่วงแรกๆที่มีการถ่ายทอดการประชุมผ่านวิทยุด้วย โดยขณะนั้นประทับใจ ส.ส. หลายๆคน อย่างนายชวน หลีกภัย เป็นต้น จนตกผลึกได้ว่าอนาคตอยากจะเป็นนักการเมือง จึงเป็นที่มาของของการตั้งใจไปเรียนต่างประเทศที่ออกซ์ฟอร์ด ในหลักสูตรปรัชญาการเมือง ควบคู่กับการเรียนกฎหมายไทยของมหาวิทยาลัยรามคำแหงไปด้วย จากสังคมเมืองนอกเองทำให้ตนได้พบกับวัฒนธรรมการเรียนรู้ และวัฒนธรรมทางการเมืองที่เจริญแล้วและอยากนำมากลับมาพัฒนาประเทศ

อดีตนายกฯ เล่าอีกว่า ขณะที่เป็นวัยรุ่นก็ได้มีโอกาสช่วย พิชัย รัตตกุล ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนั้น รวมถึงช่วยเป็นล่ามภาษาให้กับนายชวน ถือเป็นประสบการณ์แรกๆที่ตนได้สัมผัสการเมือง และหลังจากเรียนปริญญาโทที่ออกซ์ฟอร์ดเรียบร้อยแล้ว เมื่ออายุถึงเกณฑ์สมัครลงเลือกตั้ง จึงร่วมลงเวทีการเมืองเลย

ก่อนจะลงการเมืองนายชวน ได้เตือนตนว่า การเป็นนักการเมืองจะทำให้เราเลวไปครึ่งหนึ่ง เพราะจะมีคนโจมตีตลอดเวลา มีทั้งคนที่พูดจริงบ้างเท็จบ้าง แต่ประสบการณ์ที่ตนสั่งสมมาก็เข้าใจสภาพความเป็นจริงได้ และไม่ได้ผิดหวังกับการเมืองไทย เรื่องนี้จึงทำให้ตนรู้สึกนิ่งได้

“สิ่งแรกที่เรารู้ว่าเราต้องการทำอะไรเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเราไม่พยายามค้นพบว่าเราต้องการอะไร เราจะลำบาก ผมรู้จักคนเก่งหลายคนที่ไม่ได้คิดว่าอยากจะเป็นอะไร ไปเรียนตามค่านิยมคนไทยอิงตามคะแนนเป็นหลัก พอไปทำงานในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เขาก็ไม่มีความสุข ดังนั้นถ้าค้นพบว่าชอบอะไร ก็หาประสบการณ์ในสิ่งที่เกี่ยวข้อง ยุคนี้ง่ายกว่ายุคของผมเยอะ หาข้อมูลความรู้ในอินเตอร์เน็ตได้”

  

**ความสำเร็จในชีวิตของ “อภิสิทธิ์”

ถึงข้อคำถามนี้ อภิสิทธิ์ ก็เล่าให้น้องๆฟังว่า เรื่องนี้แบ่งเป็นสองส่วน อย่างแรกคือ ความสำเร็จภายนอก แม้เขาจะเคยเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ได้ผลักดันกฎหมายหลายๆฉบับทั้งเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ หรือกฎหมาย ป.ป.ช. ที่ผลักดันเป็นคนแรกๆ แต่ว่ายังมีอีกหลายๆเรื่องที่ยังรู้สึกว่าทำไม่ถึงที่สุด สิ่งที่ตั้งใจดูอยู่ก็คือเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคม และความยังไม่พร้อมของไทยที่จะแข่งกับนานาชาติ ถือเป็นหนึ่งในความคิดที่อยากทำมากๆ

ส่วนเรื่องความสำเร็จภายในนั้น อภิสิทธิ์ เล่าว่า การเป็นนักการเมืองที่รักษาอุดมการณ์ในความซื่อสัตย์ตลอด คือความสำเร็จภายในที่ทำสำเร็จแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนไม่เคยมีทรยศตัวเองเรื่องการทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ส่วนตัวคิดว่าคนที่ต้องการอำนาจสถานะทางสังคม แต่ได้มาโดยมิชอบ ถึงเวลาคนเหล่านั้นก็ไม่มีความสุข เพราะเขาต้องระแวงกฎหมายมาเล่นย้อนหลังตลอด

เมื่อถูกถามว่า ถ้าไม่เป็นนักการเมืองแล้วจะทำงานด้านไหน อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิด และยังไม่ได้ไปไหน แต่ก่อนที่เป็นนักการเมืองก็เป็นอาจารย์มาก่อน และทุกวันนี้รับเป็นอาจารย์ รวมถึงวิทยากรพิเศษบรรยาย ยังอ่านงานวิจัยทางวิชาการใหม่ๆอยู่ ดังนั้นโอกาสที่จะทำงานในภาควิชาการยังคงอยู่ในอันดับต้น หากไม่ได้เป็นนักการเมือง

“สรุปสุดท้ายนี้ผมมีคำแนะนำหลายๆเรื่อง อย่างการค้นพบตัวตน เราต้องหาเวลาให้กับตัวเองบ้าง ในยุคนี้อาจจะยาก เพราะมีเทคโนโลยี มีเรื่องของกระแสสังคม ทำให้เราไม่มีเวลาให้กับตัวเอง เพื่อที่จะสำรวจตัวเอง ว่าเรามีดีอะไร จุดแข็งจุดอ่อนอะไร ความสุขที่เราควรจะได้ควรเป็นแบบไหน ถ้ามีเวลาตรงนี้ ก็ทำให้เราค้นพบได้ว่าเราจะอยู่กับอะไร ถ้าเราอยู่กับเพื่อนๆ หรือคนภายนอกตลอด เราก็จะไม่รู้ว่าตัวตนของเราที่แท้จริงคืออะไร”

คำถามจากวัยรุ่น ถึงอดีตนายกฯ

ช่วงสุดท้ายของการบรรยาย มีการเปิดโอกาสที่ให้น้องๆได้ถามอดีตนายกรัฐมนตรีในเรื่องต่างๆ ไฮไลท์หลักๆของถามตอบก็อยู่ที่การวิจารณ์ระบบการศึกษาของไทย ที่เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากน้องๆได้เป็นอย่างดี เพราะแนวคิดของอภิสิทธิ์ เรื่องลดเวลาการเรียนรู้ แล้วหันไปพัฒนาทักษะด้านอื่น ถือเป็นความคิดที่ตรงใจวัยรุ่นที่สุด

อีกคำถามหนึ่งก็คือถ้าประเทศไทยเหลือแค่สองพรรคใหญ่ การเมืองอนาคตจะเป็นอย่างไร ในเรื่องนี้อภิสิทธิ์ตอบว่า พรรคการเมืองเป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนของประชาชน ส่วนจะตอบว่าระบบกี่พรรคแล้วจะเหมาะกับประเทศไทยนั้นก็ตอบยาก เพราะเป็นเรื่องแนวโน้มของอำนาจประชาชน

อีกคำถามที่น่าสนใจในมุมการเมืองคือ จะลงเล่นการเมืองในสมัยหน้าหรือไม่ อภิสิทธิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าพรรค จะหมดวาระเดือนหน้า แต่ตัวผมเองก็ยังขออาสาทำหน้าที่นี้อยู่ แต่ก็อยู่ที่สมาชิกพรรคว่าจะเลือกกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ ซึ่งความตั้งใจก็ยังอยากกลับมาทำงานการเมืองอยู่”

  

**สิ่งที่เด็กๆได้จากอดีตนายกฯ

น.ส.ธันย์ปพัชญ์ เตชากุลพัฒน์ นักเรียนชั้น ม.5 เล่าความรู้สึกภายหลังว่า สิ่งที่ได้คือการเปลี่ยนความคิดว่า ไม่ได้ทำในสิ่งที่เราสนใจเท่านั้น แต่การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะต้องค้นหาตัวเองเสมอ ถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว โดยประสบการร์ของอดีตนายกฯนั้นสามารถปรับใช้กับชีวิตมัธยมปลายได้เป็นอย่างดี

น.ส. จิรภัทร สิงหาวุธ นักเรียนชั้น ม.6 ให้ความเห็นว่า สิ่งที่ได้จากการบรรยายคือ ความพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใช้ชีวิต ซึ่งความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อถึงจุดที่ใช่ และการใช้ชีวิตของเราไม่ได้แค่เรียนรู้ในวันนี้ หากต้องเรียนรู้ตลอดเวลาอยู่เสมอ

นายภูมิพัฒน์ พินธิตรารติบดี นักเรียนชั้น ม.5 บอกว่า สิ่งที่ได้คือแนวคิดเรื่องการพัฒนาการศึกษาต่างๆ ที่ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ จากนโยบายเรื่องการศึกษา รู้สึกได้ว่าถ้าอภิสิทธิ์จะกลับมาทำงานด้านการเมือง เขามีโอกาสจะพัฒนาการศึกษาได้เยอะ เพราะเห็นได้ชัดว่าไทยตามหลังนานาชาติเรื่องนี้เยอะมาก

นี่คือเสียงสะท้อนจากเด็กรุ่นใหม่หลังจากที่ได้ฟังอดีตนายกฯ 

แต่อนาคตพวกเขาจะเป็นอย่างไร สุดท้ายอยู่ที่ตัวเขาเอง เช่นเดียวกับอนาคตทางการเมืองของ “อภิสิทธิ์”

++++

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ