คอลัมนิสต์

“เสรีภาพปชช.”ในรธน.ใหม่ แค่ทางทฤษฎี?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

     เมื่อ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้สิ่งที่ถูกจับตามองคือ “สิทธิ และเสรีภาพWของประชาชน สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงได้แค่ไหนหรือจะเป็นเพียงแค่ทฤษฎี?

    หลังจาก “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 20” ประกาศใช้เป็นฉบับถาวรเมื่อ 6 เมษายน 2560 สิ่งที่ถูกจับตาอย่างเป็นไฮไลท์สำคัญ คือ “สิทธิ และเสรีภาพของประชาชน” ที่ถูกรองรับไว้ในกติกาสูงสุดของประเทศ จะเป็นอย่างไร?

 

     โดยเฉพาะ เสรีภาพด้านการแสดงความเห็นต่อกระบวนการของรัฐ-การวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ของ “รัฐบาล-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” รวมถึงกลไกที่เกี่ยวข้อง “ประชาชน” จะมีอำนาจเต็มร้อย ตามที่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญระบุไว้หรือไม่?

 

    แน่นอน คำตอบของคำถามนี้ คือ “ไม่เต็ม” ตราบใดที่ “ประกาศ-คำสั่ง คสช. หรือของหัวหน้าคสช.” ไม่ถูก ยกเลิก

     ขยายความกันให้ชัด โดย “ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์)” ที่ทำงานตามติดกับประเด็นสิทธิ-เสรีภาพ ว่า คำสั่ง-ประกาศ คสช. ที่ออกตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่เทียบสถานะเท่ากับกฎหมาย มีหลายฉบับที่ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขียนให้กฎหมายที่ออกโดยคำสั่งเหล่านั้นยังบังคับใช้ได้ รวมถึงการเขียนบทบัญญัติที่สร้างเงื่อนไขของการใช้สิทธิ เสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า ต้องเป็นไปภายใต้กรอบการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของรัฐ ศีลธรรมอันดี ดังนั้นประเด็นนี้ในทางทฤษฎีจะเขียนไว้ แต่ไม่ทำให้เกิดเสรีภาพที่แท้จริงได้ในทางปฏิบัติ

     “ผมมองว่า เมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บังคับใช้แล้ว สิทธิของประชาชนควรจะเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญใหม่เขียนไว้ รวมถึงอำนาจ หน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ควรเป็นไปตามนั้นด้วย ไม่ควรมีอำนาจจากรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว มาซ้อนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และอำนาจพิเศษของ คสช.นั้น ไม่ควรมี แต่เมื่อยังมีอยู่ก็ไม่ควรใช้อำนาจนั้นอีก”

   ในประเด็นต่อเนื่องกัน ถึงเงื่อนไขของการใช้เสรีภาพ “ผู้จัดการไอลอว์” มองว่า การเขียนเงื่อนไขไว้แบบกว้างๆ นั้น ทำให้รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้ความคุ้มครองต่อการใช้สิทธิ เสรีภาพประชาชนมากนัก

   ด้วยข้อจำกัดที่สะท้อน อาจแปลงเป็นโอกาสดีได้ หาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” ฐานะผู้ตีความตัวบท แปลความหมายของคำว่า สงบเรียบร้อย ความมั่นคง ในความหมายแบบแคบ และแปลความเสรีภาพแบบใหญ่ หากเป็นเช่นนี้ เสรีภาพจะไม่ถูกจำกัดมาก แต่จากวัฒธรรมของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยเรื่องราวที่ผ่านมาทำให้สิ่งที่มองแบบโลกสวยกลายเป็นความดำมืดที่น่ากลัวได้

    ดังนั้นในทิศทางของ “ไอลอว์” หลังจากรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้ “ยิ่งชีพ” บอกด้วยความมุ่งมั่นว่า จะใช้กระบวนการภาคประชาชนที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิไว้ คือ รวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างกฎหมายยกเลิกประกาศ คสช. คำสั่งคสช. และคำสั่งหัวหน้าคสช. บางฉบับที่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพ รวมถึงให้นำคดีของบุคคลซึ่งถูกดำเนินคดีตามประกาศหรือคำสั่ง คสช. ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยมีธงนำคือ ยึดการวินิจฉัยที่เป็นคุณกับเสรีภาพของประชาชน

    นอกจากนั้น ต่อประเด็น “แผนยุทธศาสตร์ชาติ” ที่ยืนยันว่า ไม่เอา หากขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องจากในทัศนะส่วนตัวมองว่า รัฐบาล คสช.ไม่ควรมีอำนาจต่อการวางยุทธศาสตร์หรือแผนระยะยาวที่เกินกว่าวาระของตัวเอ เมื่อ คสช.พ้นไปแล้วสิ่งนั้นควรไปพร้อมกับ คสช.

    แต่หากถามสไตล์การมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกำหนดชะตา-อนาคตของตนเอง ผ่านแผนระยะยาว-ยุทธศาสตร์ชาติ นั้น “ยิ่งชีพ” ออกแบบอย่างเบสิก คือ รัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อให้คนทุกฝ่าย ทั้งคนที่เห็นด้วยกับ คสช. กับคนที่เห็นต่าง สามารถเข้าร่วมได้ และร่วมแบบมีเวลามากพอที่จะพูด โดยความเห็นที่เสนอแม้จะเป็นสิ่งที่เห็นแย้งกับ คสช. ต้องไม่ถูกจับเพื่อดำเนินคดี ขณะเดียวกันบุคคลที่ไม่อยากเข้าร่วมเวทีของรัฐบาล ต้องเปิดพื้นที่สาธารณะเพื่อให้คนกลุ่มนั้นเข้าถึงด้วย เช่น ผ่านพื้นที่สื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อให้คนที่ไม่อยากเข้าร่วมกับ คสช. หรือพูดให้รัฐบาลฟังโดยตรง มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยน ถกเถียงเรื่องนั้นๆ ในสังคม

    “อย่างน้อยต้องเลิกคำสั่ง คสช.ที่ห้ามการชุมนุม เพื่อสร้างบรรยากาศให้คนอยากเสนอความเห็น ให้คนรู้สึกว่า ยุทธศาสตร์ชาตินั้น ทุกคนมีส่วนร่วมร่าง มาจากสัญญาประชาคมที่คนถกเถียงได้ว่า เรื่องนั้นจะเอาหรือไม่เอาได้ แต่หาก คสช.ไม่สร้างบรรยากาศ ยังคำนึงเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ต่อให้ได้ยุทธศาสตร์ชาติมาก็จะเป็นยุทธศาสตร์ที่พิการ มีคนเข้าเกียร์ว่าง เกิดความไม่พอดีในสังคม ดีไม่ดีอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ทะเลาะกันระหว่างคนที่นำไปใช้บังคับ กับคนที่ถูกบังคับใช้” ยิ่งชีพ ประเมินปิดท้าย

    อย่างไรก็ตาม....ในเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ “รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน” ในมาตรา 65 ยังกำหนดเงื่อนไขต่อกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติไว้ด้วยว่า ต้องมีกฎหมายที่เขียนรับรองสิทธิของประชาชนทุกภาคส่วนต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมจัดทำและรับฟังความเห็นที่ทั่วถึงด้วย ซึ่งรายละเอียดในเรื่องนี้ ล่าสุด “คณะรัฐมนตรี” ได้ส่งร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว และสภานัดหมายที่จะนำเข้าหารือในที่ประชุม หลังพ้นเทศกาลสงกรานต์นี้

   รายละเอียดและเนื้อหาจะเป็นอย่างไร “ทีมข่าวคม ชัด ลึก” จะนำรายละเอียดมาเสนอต่อ..เร็วๆ นี้

โปรดติดตาม!!!!!

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ