คอลัมนิสต์

ส่องทำเลทองสถานทูตในไทย อังกฤษร้อนฉ่า 23 ไร่ 1.8 หมื่นล้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ส่องทำเลทองสถานทูตในไทย อังกฤษร้อนฉ่า 23 ไร่ หมื่นกว่าล้าน

           ฮือฮาพอสมควรหลัง “ทูตเดวิดสัน” ไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ออกมายืนยันเป็นครั้งแรกว่าขายแน่นอนสถานทูตอังกฤษเนื้อที่ 23 ไร่บนถนนวิทยุถือเป็นทำเลทองของธุรกิจ หลังจากที่ดินบริเวณดังกล่าวด้านหน้าช่วงจุดตัดถนนวิทยุกับเพลินจิตถูกขายไปเมื่อปี 2549 ให้กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งขณะนั้นถือเป็นหนึ่งในการตกลงซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่ของประเทศ ซึ่งทูตเดวิดสันอ้างว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลอังกฤษที่ต้องการใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพย์สินที่มีอยู่ทั่วโลก 

       ไม่ใช่แค่อังกฤษที่ประกาศขายสถานทูตในประเทศไทย ก่อนหน้านี้มีหลายประเทศมีนโยบายขายกรรมสิทธิ์ที่ดินของสถานทูต เนื่องจากทนเย้ายวนในเรื่องราคาไม่ไหวเพราะอยู่ในทำเลทองที่กลุ่มทุนคอยจับจ้องตาเป็นมัน ไม่ว่าจะเป็นสถานทูตญี่ปุ่นและสถานทูตฝรั่งเศส ได้ขายที่ดินและไปเช่าพื้นที่ส่วนที่เป็นโรงเรียนเตรียมทหารเดิม 

       ล่าสุดสถานทูตออสเตรเลีย ก็ไปเช่าที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ส่วนที่ดินที่ตั้งสถานทูตออสเตรเลียมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 7 ไร่ 382 ตารางวา ตั้งอยู่ริมถนนสาทรใต้ หนึ่งในย่านธุรกิจและที่พักอาศัยชั้นดีในศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ราคาประเมินเทียบเคียงเฉลี่ยตารางวาละ 2 ล้านบาท เป็นราคาใกล้เคียงกับที่ดินสถานทูตอังกฤษ สถานทูตออสเตรเลียจะได้เงินไม่ต่ำกว่า 6,364 ล้านบาท แต่ถ้าแย่งกันมากราคาก็วิ่งขึ้นฉิว เผลอๆ อาจทุบสถิติพุ่งเฉียดหมื่นล้าน โดยจะเปิดให้ผู้สนใจยื่นซองเสนอราคาไปจนถึงต้นเดือนมิถุนายนนี้ ทั้งนี้เพราะสถานทูตเองมองว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีมูลค่า หากขายไปก็เป็นเม็ดเงินจำนวนมากที่จะส่งกลับไปให้รัฐบาลออสเตรเลียใช้จ่ายในประเทศต่อไป 

        หากมองย้อนไปเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว หรือปี 2550 ประเทศยักษ์ใหญ่สหรัฐอเมริกาก็ประกาศขายสถานทูตในต่างแดนเช่นกัน มีทั้งหมด 21 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย  โดยมีเป้าหมายเพื่อความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องทำเลทอง จากข้อมูลสำนักข่าวเอพีระบุ สหรัฐกำลังประกาศขายอาคารที่ทำการสถานทูต บ้านพักเอกอัครราชทูต และอาคารในเครือสถานทูตในหลายประเทศ ตั้งแต่ในกรุงคินชาซา ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งคองโก หรืออดีตประเทศซาเอียร์ ไปจนถึงกรุงกาฐมาณฑุของเนปาล กรุงเทพฯ ของไทย และกรุงโบโกตา ของโคลอมเบีย โดยกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐจะย้ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่าเดิม ซึ่งนอกจากจะยกระดับเรื่องอาคารสถานที่แล้วยังต้องการให้มีความสอดคล้องกับการใช้งานในหลายวัตถุประสงค์อีกด้วย โดยมีการประเมินทรัพย์สินทางการทูตในครั้งนั้นมูลค่ากว่า 205 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7,175 ล้านบาท  โดยสถานทูตที่จตุรัสกรอสเวเนอร์ ในย่านเมย์แฟร์ ของกรุงลอนดอน ถูกตั้งราคาไว้ที่ 180 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6,300 ล้านบาท 

      สำหรับสถานทูตอังกฤษนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประกาศขายเพื่อย้ายไปหาที่ทำการใหม่ ในทำเลใหม่ โดยไม่พยายามติดยึดกับอดีตตามที่ทูตเดวิดสันกล่าวอ้าง แม้สถานทูตแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานและน่าจดจำ เพราะเป็นสถานทูตที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในทำเลทอง มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีการประเมินราคาที่ดินผืนนี้อยู่ที่ 2 ล้านบาทต่อตารางวา ทำให้มูลค่าการซื้อขายจะสูงถึง 18,000 ล้านบาทกันเลยทีเดียว

        ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2549 เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ของสถานทูตถูกแบ่งขายให้เซ็นทรัลกรุ๊ป ในราคาเกือบ 1 ล้านบาทต่อตารางวา  โดยพื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ในปัจจุบัน และเป็นที่คาดการณ์กันว่ากลุ่มเซ็นทรัลจะเป็นผู้ซื้อที่ดินที่เหลือดังกล่าวของสถานทูตอีกด้วย โดยจะมีการประกาศเรื่องการขายสถานทูตในอีก 1 เดือนข้างหน้า และนักวิเคราะห์ต่างเชื่อมั่นว่าเซ็นทรัลจะสามารถปิดดีลดังกล่าวนี้ได้  

        แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษครั้งนี้ โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่เชื่อว่าสถานทูตอังกฤษเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ควรรักษาไว้ ชาวอังกฤษเหล่านี้ได้ช่วยกันรณรงค์ผ่านเว็บไวต์ change.or ภายใต้สโลแกน Save the British Embassy Bangkok คัดค้านการขายสถานทูต และมีผู้เข้าไปร่วมลงชื่อเป็นจำนวนมาก โดยพวกเขามองว่าการขายสถานทูตเพียงเพื่อหาเงินเป็นเรื่องน่ารังเกียจ มันทำให้อับอายที่เป็นคนอังกฤษ 

        อย่างไรก็ตามที่ดินผืนนี้เดิมเป็นของนายเลิศ เศรษฐบุตร หรือพระยาภักดีนรเศรษฐ บิดาแห่งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาพื้นที่ย่านวิทยุและเพลินจิต ท่านได้ที่ดินผืนใหญ่แห่งนี้มาเมื่อปี 2458 และริเริ่มการพัฒนาที่ดินยุคเริ่มแรกของเมืองหลวงด้วยการวางแผนที่รอบคอบและมุ่งมั่น โดยวางแผนการแบ่งขายแปลงที่ดินอย่างพิถีพิถัน หนึ่งในผู้ที่มาซื้อที่ดินไปคือรัฐบาลอังกฤษที่สร้างสถานเอกอัครราชทูตบนที่ดินแห่งนี้ในปี 2465 รวมถึงนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายครอบครัวที่สร้างที่พำนักอาศัยซึ่งตกทอดมาถึงรุ่นลูกหลานในปัจจุบัน  

                                                                            ....................................................

 “ดอน ปรมัตถ์วินัย” สถานทูตไทยวันนี้ไม่ขาย

ปัจจุบันสถานทูตหลายแห่งในประเทศไทยตั้งอยู่ในทำเลทอง จึงเป็นที่หมายปองของเหล่าบรรดากลุ่มทุนไทยและข้ามชาติที่จ้องฮุบพื้นที่เพื่อมาต่อยอดในธุรกิจ โดยไม่สนใจว่าราคาค่างวดจะแพงแสนแพงแค่ไหน เมื่อเล็งเห็นแล้วว่าคุ้มค่ากับการลงทุน ในขณะเจ้าของพื้นก็ยอมปล่อยออกไปหากเห็นว่าได้กำไรงาม แต่สำหรับประเทศไทยกลับไม่คิดเช่นนั้น โดยมองว่าความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของสถานทูตเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เป็นตัวเงิน

เห็นได้จากบทสัมภาษณ์ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศใน “ประชาชาติธุรกิจ” ฉบับวันที่ 30 มีนาคม-2 เมษายน 2560 โดยมองว่านโยบายประเทศไทยมีความชัดเจนในเรื่องนี้คือเราไม่ขาย ด้วยเหตุผลเป็นเรื่องของความผูกพันที่เราคิดว่าควรถนอมเอาไว้ มีหลายแห่งที่เด่นเป็นสง่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศเรา เช่น สถานทูตไทยในสิงคโปร์ถือเป็นที่พิเศษมาก รัชกาลที่ 5 ทรงซื้อเมื่อครั้งเสด็จประพาสและพระราชทานทรัพย์ซื้อไว้เนื้อที่ 11 ไร่ บนถนนออร์ชาร์ด ตั้งอยู่ใจกลางเมืองศูนย์กลางธุรกิจ ทุกคนที่ไปสิงคโปร์จะต้องผ่านจุดนี้ ผ่านแล้วจะต้องถาม ตั้งแต่ตอนซื้อจนกระทั่งวันนี้มีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่ามหาศาล

ดอนเผยต่อว่าที่ผ่านมาเคยมีนักลงทุนพยายามทาบทามซื้อในยุคหนึ่งเพื่อต้องการจะเปลี่ยนพื้นที่เป็นไฮไลท์ ซึ่งเป็นเทรนด์ของประเทศนั้น โดยเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนให้เราพิจารณามีออปชั่นเยอะแยะมากมาย แต่เราไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ตึกสูง มีการอยู่แยกส่วนของหน่วยงานต่างๆ เราต้องการให้ไทยเป็นหนึ่งเดียว และไม่แค่สิงคโปร์เท่านั้นยังมีอีกหลายประเทศที่สถานทูตไทยตั้งอยู่ในทำเลทองเป็นที่หมายปองของกลุ่มทุนและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นสถานทูตไทยในโตเกียว ญี่ปุ่น, วอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา, ลอนดอน อังกฤษ, เบอร์ลิน เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศ

แม้เขายืนยันว่ารัฐบาลนี้มีนโยบายชัดเจนว่าไม่ขาย แต่ในอนาคตไม่แน่ แม้เม็ดเงินการขายสมบัติชาติต้องเข้างบประมาณ แต่ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะเล่นแร่แปรธาตุไหมก็ต้องถามประชาชน แต่สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากไม่ควรแล้วยังจะบอกว่าในวันถัดไปหรืออาทิตย์ถัดไปเราเอาเงิน 3 เท่ามาซื้อคืนก็ยังจะไม่ได้สิ่งนั้นกลับมา และบางสิ่งบางอย่างมันมีมูลค่าทางจิตใจทีี่ไม่อาจประเมินค่าเป็นตัวเงินได้

 หลักหมุดที่ดิน 100 ปีคู่บารมีสถานทูตอังกฤษ   

    “เราจะไม่พยายามยึดติดกับอดีต” คำพูดที่ “ทูตเดวิดสัน” ไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยกล่าวไว้ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ประกาศขายสถานทูต แต่หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือนายเลิศ เศรษฐบุตร คหบดีเจ้าของที่ดินประมาณ 60 ไร่ที่อยู่ระหว่างถนนเพลินจิตกับคลองแสนแสบ ด้วยความที่มีที่ดินจำนวนมากนายเลิศจึงทำหลักหมุดที่ดินที่ทำด้วยเหล็กเคลือบปูนขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตาไปจากหมุดที่ดินคนอื่นๆ ในสมัยนั้น   กล่าวคือ ท่านพระยามีอุปนิสัยด้านความคิดที่สร้างสรรค์มักจะออกแบบสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ด้วยตัวของท่านเองผสมผสานกับเคล็ดและความเชื่อ รูปร่างของหมุดจึงมีลักษณะคล้ายกับปืนใหญ่ที่ปักหัวลงบนดินเปรียบเสมือนเป็นปราการที่หนักแน่นและคล้ายหม้อต้มยาจีนที่จะบำรุงรักษาที่ดินให้อยู่รอดปลอดภัย 

หมุดนี้ทำขึ้นเพื่อบอกถึงอาณาเขตของที่ดินแปลงนี้ทั้งหมด 6 ห มุด ปัจจุบันหมุดที่ดินที่ว่านี้เหลือให้เห็นอยู่เพียงหนึ่งหลักเท่านั้น คือหมุดที่อยู่ข้างหน้าสถานทูตอังกฤษตรงหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนเพลินจิต เวลาผ่านไป 100 ปีสิ่งปลูกสร้างอาคารเก่าแก่ต่างๆ ภายในสถานทูตก็เริ่มทรุดโทรมลง สถานทูตจึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการบูรณะซ่อมแซมอาคารต่างๆ ภายสถานทูต จึงได้ตัดแบ่งที่ดินบางส่วนมาประมูลขายให้เอกชนอีกทอดหนึ่ง  

ปัจจุบันที่ดินประวัติศาสตร์แปลงนี้เป็นที่ดินก่อสร้างโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ ส่วนอนาคตหมุดที่ดินของนายเลิศนั้นยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าเซ็นทรัลจะอนุรักษ์ไว้หรือไม่ หมุดที่ดินนี้ก็เปรียบเสมือนปู่ทวดที่ชราเต็มที ผ่านร้อนผ่านหนาว ดูไร้ประโยชน์ เกะกะ แต่อยากให้มองย้อนกลับไปถึงจุดกำเนิดของแท่งปูนประหลาดนี้ว่าเขาอยู่คู่กับที่ดินผืนนี้มานานนับ 100 ปีแล้ว

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ