“น.1 บึ่งทุกที่”ฉายานี้...ไม่ใช่ได้มาแค่ขำๆ?...!!

“น.1 บึ่งทุกที่” ฉายานี้...ไม่ใช่ได้มาแค่ขำๆ?...!!

     เห็นภาพนี้แล้วบางคนอาจเป็นงงสงสัย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าไปสืบสวนสอบสวนเคส “ป๋ามือตบ” กับเขาด้วย?...แล้ว...ตั้งแต่เมื่อไร ที่ไหน ทำไม และอย่างไร ...? ฯลฯ

     ก่อนหน้านี้หลายคนก็เคยคาใจแบบมึนๆ มาพอประมาณแล้วว่า ทำไมนายตำรวจ เจ้าของรหัสเรียกขาน “น.1” นายนี้ถึงไปปรากฏตัวออกสารพัดสื่อบ่อยมากกก...ถึงมากที่สุด 

     ที่สำคัญไม่ว่างานไหนช่างภาพสื่อมวลชนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยากมาก...ถึงยากที่สุด ที่จะคัตท่านศานิตย์ออกจากเฟรม!!!

     ไม่เพียงแค่เกือบๆ จะทุกคดีีทั้งคดีเล็ก คดีใหญ่ใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของน.1 โดยตรงเท่านั้นที่ น.1 ไปปรากฏตัว หากแต่ยังมีบางพื้นที่ต่างจังหวัดที่นายตำรวจท่านนี้ไปร่วมแจม 

    ก็เพราะมันมีความเกี่ยวเนื่องกับคดีที่เมืองกรุง เลยอาศัยลูกติดพันลงมือไปสอบสวนคุมคดีสั่งการด้วยตัวเองเสมอ...เทกโอเวอร์แบบเบ็ดเสร็จ

     เส้นทางราชการงานสายสืบ พล.ต.ท.ศานิตย์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 34 เติบโตมาโดยตรงกับสายงานสืบสวนสอบสวน โดยเฉพาะงานสอบสวนถือได้ว่าเป็นชั้นครูก็ว่าได้ ด้วยความละเอียด และต้องสอบซักไซ้ไล่เรียงให้ครบถ้วนกระบวนความทุกมิติ ปรากฏข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน

     นี่ก็ควรจะคลายข้อสังสัยไปเปลาะหนึ่งละว่า ทำไม พล.ต.ท.ศานิตย์ ถึงไปได้ทุกที่ ทุกเวลา และลงมือเอง

     แรกเริ่มเดิมทีเข้ามานั่งเก้าอี้ในฐานะแม่ทัพนครบาลด้วยสถานะ “รักษาราชการแทน” ที่ถ่างอีกขามาจากตำแหน่งผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูแลงานด้านป้องกันปราบปราม 

     เขาได้รับมอบหมายให้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2558 ใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือแบบเนื้อๆ เน้นๆ จนขึ้นเป็นผบช.น.ตัวจริง เสียงจริง ในอีก 10 เดือนถัดมา 

     เมื่อได้นั่งเก้าอี้แม่ทัพใหญ่นครบาล พล.ต.ท.ศานิตย์ ก็ออกนโยบายการทำงานใหม่ถอดด้ามด้วยวลีทองที่ว่า “รุก รบ จบเร็ว ทำดี ทำได้ ทำทันที” จึงเห็นนายตำรวจผู้นี้เดินทางไปดูที่เกิดเหตุทุกคดี เรียกประชุมในสน.ท้องที่ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดคดีน้อย คดีใหญ่

     นี่ก็น่าจะหายสงสัยไปอีกหนึ่งเปลาะ

      เพราะตามนโยบายที่ประกาศออกมานั้น เป็นตัวอย่างชัดเจน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมี พล.ต.ท.ศานิตย์ ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อในทุกคดี และให้บังเอิญพอดิบพอดีที่คดีเหล่านี้เป็นกระแสสังคม

     ยกตัวอย่างพอหอมปากหอมคอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดราม่าบนโลกโซเชียลมีเดีย คดีฆาตกรรมที่เป็นเรื่องอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ เหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วน คดีจราจร คดีทะเลาะวิวาท คดีทำร้ายร่างกาย ศึกอริต่างสถาบันของนักเรียนช่างกล การลงพื้นที่แก้ปัญหาการจราจร โดยเฉพาะการเข้าไปตรวจค้นและพูดคุยกับโรงเรียนเป้าหมายก่อเหตุวิวาทกับอริต่างสถาบัน ยังเป็นโต้โผจัดอบรม พร้อมกับชวนน้องๆ นักเรียนทำท่า “ซารังเฮ” และชู 3 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์บอกรักกัน แทนการให้ของลับที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง

มีคนบ่นกันว่าเมืองกรุงโจรชุมเหมือนยุง แต่นายตำรวจคนนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนก.ย.15 มีเรื่องที่ไหนไปถึงที่นั่น ไม่ว่าคดีเล็กคดีใหญ่ บางวันต้องเดินทางแข่งกับเวลา เริ่มแถลงข่าว ณ จุดเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเช้า พ่วงกับการทำแผนชี้จุดประกอบคำรับสารภาพ จากนั้นก็บึ่งไปงานอีกที่รวมแล้วตั้งแต่เช้ายันค่ำ 

     สิริรวมในรอบ 1 วัน พล.ต.ท.ศานิตย์ ปรากฏตัวต่อหน้ากล้องสื่อมวลชนจำนวน 4 ข่าวเป็นอย่างน้อย (มากกว่านายกฯ ลุงตู่ที่คุมสื่อรัฐในมือเกือบ 2 เท่าตัว)  และสื่อเองก็ต้องตามไปทำข่าวในทุกที่ เพราะพล.ต.ท.ศานิตย์ ไม่ได้เป็นแค่ “นักสืบ” หากแต่ลึกๆ แล้วเขาอาจมีเลือดศิลปิน (ไม่แขนงใดก็แขนงหนึ่งล่ะ) เจืออยู่ จึงสามารถแจกจ่ายประเด็นที่มีวลีเด็ดคอยกำกับ รวมถึงยังออกแอ็กชั่นการแถลงข่าวที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์

     บทบาทเข้าตากันถึงขนาดนี้มีหรือสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทยจะไม่หยิบยกมาตั้งฉายา สุดท้ายจบโหวตด้วยเอกลักษณ์ของเอกบุรุษผู้นี้ “น.1 บึ่งทุกที่”

     พล.ต.ท.ศานิตย์ เคยพูดไว้ว่า “ขอทำงานให้บ้านให้เมือง ให้ส่วนรวม ให้องค์กรให้มากที่สุด ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความรู้สึกว่ามีความปลอดภัย อยากเห็นประชาชนรักตำรวจ การทำคดีต้องมีความรอบคอบ สำนวนต้องสมบูรณ์แน่นหนา ครบทุกมิติ เพื่อให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรม เวลาส่งฟ้องศาลพิจารณาคดีก็จะทำให้คนร้ายได้รับโทษ ไม่หลุดคดี”

     ก็ลองพิจารณากันดูว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตามนโยบายของตัวเอง “รุก รบ จบเร็ว ทำดีทำได้ ทำทันที” จนเป็นที่มาของฉายา “น.1 บึ่งทุกที่” ซึ่งควรจะไม่ได้มาเพราะ “ขำๆ” กันเท่านั้น...หรือไม่

โดยทีมข่าวอาชญากรรม