คอลัมนิสต์

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ทำไมในหลวงจึง “ยิ่งใหญ่” ในใจคน, ​​​​​​​ผู้ตามรอย “พ่อ”, ​​​​​​​“บันทึกฝากไว้ เผื่อวันนึงฉันแก่จนจำอะไรไม่ได้” (ตีพิมพ์ใน นสพ.คมชัดลึก ฉบับวันที่ 17 ต.ค.59)

ทำไมในหลวงจึง “ยิ่งใหญ่” ในใจคน

            วันนี้ที่ทำงานป่วนมาก เพราะข่าววันนี้คือประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของชาติไทย ตอนทำงานวุ่นๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ระหว่างขับรถกลับบ้านถึงได้ย้อนคิดว่าทำไมคนไทยถึงรักในหลวงขนาดนี้

            ในความรู้สึกของผม มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ผมไม่ได้รู้สึกว่าในหลวงเป็นเทพ เทวดา จุติจากฟ้าสวรรค์จากไหน ก็เป็นคนเหมือนเรา เหมือนทุกคน แต่ประเด็นคือทำไมคนคนหนึ่งถึงได้ยิ่งใหญ่ หรือเป็นที่รักของผู้คนได้มากขนาดนี้

            ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ผมว่าไม่ได้มาจากทรงครองราชย์ยาวนาน แต่มาจากตรงที่ในหลวง เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนลุกขึ้นมาทำความดีได้พร้อมๆ กันทั้งประเทศ ผมคิดว่าตรงนี้แหละ ที่มหัศจรรย์ ใครจะทำได้อย่างพระองค์บ้าง

            ลองนึกดูว่าคนคนหนึ่งสามารถปลุกใจให้คนมาทำดีได้ยังไงกัน

            ปลูกต้นไม้ก็ถวายในหลวง บริจาคเลือดก็ถวายในหลวง ปล่อยปู ปล่อยปลา ก็ถวายเป็นพระราชกุศล ขนาดงดดื่มเหล้าก็ยังถวายในหลวง เก็บขยะหน้าบ้านถวายในหลวงก็มี ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ “ทำดีเพื่อถวายในหลวง”

            ถามว่าในหลวงรู้มั้ย ที่ทำอยู่เนี่ย อาจจะรู้แต่คงรู้ไม่หมดหรอก เพราะเป็นล้านๆ คน แล้วทำไมคนถึงทำดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่บอกทำดีถวายในหลวงนั้น ในหลวงอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ ที่ทำเพราะทุกคนมีในหลวงอยู่ในใจ

            จะมีกี่คนในโลก ที่ปลุกให้ผู้คนทำความดีพร้อมๆ กันเป็นล้านคนได้แบบในหลวงของเรา

            สำหรับผมแล้ว...ความยิ่งใหญ่ของพระองค์อยู่ตรงนี้นี่แหละ

เสถียร วิริยะพรรณพงศา

บรรณาธิการบริหารพีพีทีวี

14 ต.ค.2559

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

++++++

ผู้ตามรอย “พ่อ”

            คนที่ข้าพเจ้าเป็นห่วงและนึกถึงเป็นคนแรก ในวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา คือ ผู้ชายคนนี้

พ่อ อาจารย์ยักษ์ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร

            ชายผู้ตามเสด็จสนองงานในโครงการพระราชดำริมานานถึง 17 ปี ก่อนจะนำปรัชญาของพระเจ้าแผ่นดินมาแปลงเป็นการปฏิบัติ และเผยแพร่แนวคิดของพ่ออยู่หัวรัชกาลที่ 9 มายาวนานถึงเกือบ 3 ทศวรรษ

            อย่าถามเลยว่าพ่อรักในหลวงสักแค่ไหน เพราะการยอมทิ้งตำแหน่งออกมา เพื่อนำคำสอนมาลงมือทำและเผยแพร่ด้วยศรัทธาเทิดทูนนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีกว่าคำพูด

            บ่ายวันที่ 13 ตุลาคม หลังคุยไลน์กับพ่อ ฉันเดินทางไปศิริราชทันที เวลาสี่ทุ่มกว่าๆ คืนนั้น หลังพยายามเช็ดน้ำตาจนแห้ง อยู่กับลมหายใจตัวเอง ราว 10 นาที เช็กเสียงว่าปกติดีแล้ว  ก็ตัดสินใจโทรหาพ่อ ด้วยความเป็นห่วง

            “พ่อโอเค” เสียงปลายสายดังมาก่อนที่ฉันจะเอ่ยคำใดออกมา “หนักแน่นนะลูก เราจะต้องช่วยกันทำงานถวายพระองค์ท่าน” “ค่ะ” ฉันรับคำแล้วรีบตัดสายทิ้ง นั่งลงอย่างคนหมดแรง และปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา อย่างเงียบเชียบ

            ฉันรู้ว่าพ่อเข้มแข็ง อดทน เข้าใจโลกและชีวิต เวลานี้ พ่อจึงต้องเป็นหลักให้ลูกศิษย์ยึดเกาะ ไม่อาจแสดงความอ่อนแอตามอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงได้ แต่เสียงที่เครืออย่างพยายามควบคุมเต็มกำลังนั้น คือสิ่งที่สะท้อนความรู้สึกในใจของพ่อ

            พ่อเริ่มส่งจดหมายถึงลูกศิษย์ เพื่อให้เกาะเกี่ยวกัน และใช้งานเป็นเครื่องยึดเกาะ เพื่อทำงานถวายพระองค์ท่าน

            เย็นวานนี้ หลังภาวนาเนสัชชิกกับสวนโมกข์ทั้งคืน ฉันคิดว่าตัวเอง ไม่โปร่งบางเป็นลูกโป่งที่พร้อมจะแตกแล้ว จึงไปเจอพ่อ เพียงเห็นหน้าทำนบต่างๆ ก็พังทลายลง พ่อกอดฉันไว้แน่น บอกให้ร้องเสียให้พอ ตาที่แดงช้ำของพ่อ นั่นคือสิ่งที่บอกฉันว่าพ่อพยายามเข้มแข็งแค่ไหน เพื่อเป็นหลักไม่ให้เครือข่ายตื่นตระหนก และแพแตกในภาวะแห่งความโศกเศร้าเช่นนี้

            นี่คือสิ่งที่พ่อบอก และอยากมาบอกกล่าวต่อ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับใครบ้าง

            "...ดึงจิตพรากออกมาจากความเศร้า เหมือนไม้สดที่มียาง ให้ดึงขึ้นมาไว้ในที่แห้งเพื่อให้ยางนั้นค่อยๆ แห้ง เรื่องบางเรื่อง เหตุผลสู้ไม่ไหว ก็ให้หลีกออกมาก่อน อย่าจมอยู่กับความเศร้า เปลี่ยนวิธีมาเกาะเกี่ยวกับงานที่จะทำถวายแทน ใช้งานเป็นกสิณ หาวิธีอยู่กับหมู่กลุ่ม ทำสมถะด้วยการกดข่ม และวิปัสสนาพิจารณา ให้เห็นความจริง ว่าสุดท้ายมนุษย์จะต้องเดินทางมาถึงจุดนี้ทุกคน...ไม่มีข้อยกเว้น"

            พ่อบอกว่า วิถีของในหลวง คือวิถีของโพธิสัตว์ ที่เกิดมาเพื่อให้ เสียสละ ทำเพื่อคนอื่น

            วิธีแสดงความรักความกตัญญูของพวกเราคงไม่มีวิธีไหน นอกจากต้องนำคำสอนมาเร่งสร้าง เร่งทำ ให้เป็นรูปธรรม เป็นตัวอย่าง และที่พึ่งแก่คนอื่นได้ พ่อบอกว่าเวลานี้ เราทุกฝ่ายต้องประสานสามัคคีกัน ให้ทุกคนเป็นฝีพายที่ช่วยกันออกแรงพาย พาประเทศต่อไปให้ถึงฝั่ง

จิรา บุญประสพ

อายุ 44 ปี

โปรดิวเซอร์ / เขียนบท

16 ต.ค.59

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

จิรากับพ่อ ทางอุดมการณ์ของเธอ “ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร” ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง

++++++

“บันทึกฝากไว้ เผื่อวันนึงฉันแก่จนจำอะไรไม่ได้”

            ฉันเคยได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในระยะใกล้ถึง 3 ครั้ง

            ครั้งที่ 1 ปีพุทธศักราช 2522

            ฉันเป็นนักเรียน ชั้น ป.2/1 โรงเรียนดาราคาม ฉันได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนนักเรียนรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่เสด็จฯ ไปทรงเปิดพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เอกมัย กรุงเทพฯ ฉันนั่งอยู่ในห้องเดียวกับพระองค์ท่าน ห่างจากเก้าอี้พระที่นั่งเพียงนิดเดียว

            ครั้งที่ 2 ปีพุทธศักราช 2537

            ฉันเป็นวารสารศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉันได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ครั้งนี้ฉันอยู่ห่างจากพระองค์ท่านเพียงแค่กระดาษใบเดียว

            ครั้งที่ 3 ปีพุทธศักราช 2554

            ฉันเป็นเพียงลูกไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลศิริราชค่อนข้างดึกคืนนั้น ฉันเห็นผู้คนมากมาย และทหาร องครักษ์หลายคนพร้อมรถยนต์พระที่นั่งจอดอยู่ ฉันเดินเข้าถามองครักษ์ว่าพระองค์ไหนเสด็จ องครักษ์ตอบฉันว่า ตรงนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แล้วพี่องครักษ์ก็กระซิบบอกฉันว่า “น้องเดินไปตึกโน้นนะ ...ในหลวงเสด็จฯ ตึกโน้น”

            ฉันจูงมือลูกชายเดินไปรอตามที่พี่องครักษ์บอกอย่างไม่ลังเล รู้ภายหลังว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาตรวจพระวรกายอย่างเงียบๆ ในยามดึก เพราะเกรงใจประชาชน ฉันกับลูกนั่งลงบนพื้นถนน ตกลงกันว่า ดึกแค่ไหนก็จะรอ

            สักพัก รถยนต์พระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็เคลื่อนผ่านไปก่อน ทั้งสองพระองค์ทรงยิ้ม และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนของท่านเหมือนเช่นเคย

            จากนั้นอีกนานหรือไม่นาน ฉันไม่รู้ เพราะความสนใจของฉันจดจ่ออยู่กับการที่จะได้เห็นคนที่ฉันรักด้วยชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และเป็นครั้งสำคัญที่สุด ตรงที่ลูกชายของฉันก็จะได้เห็นด้วย

            รถยนต์พระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เคลื่อนออกจากตึกที่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้และรอรับเสด็จอยู่ ภายในรถ เปิดไฟส่องสว่างให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมี แม้คนจะไม่เยอะ แต่เสียงทรงพระเจริญก็ดังขึ้น พร้อมด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยความปลื้มปีติ

จิรวรรณ กาญจนานันท์

อายุ 44 ปี

อาชีพ วิทยากร

16 ต.ค. 59

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

++++++

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ