คอลัมนิสต์

จับยุทธศาสตร์สู่ปีที่3'บิ๊กตู่'ส่งสัญญาณลุย!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จับยุทธศาสตร์สู่ปีที่3'บิ๊กตู่'ส่งสัญญาณลุย! : ขยายปมร้อน โดยอนพัทย์ ดีช่วย สำนักข่าวเนชั่น

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” ได้นำคณะลงพื้นที่ตรวจราชการและพบปะประชาชน จ.ร้อยเอ็ด ถือเป็นการลงพื้นที่ต่างจังหวัดครั้งแรกหลังการทำประชามติ ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง เพราะการลงพื้นที่เป็นสิ่งที่ฝ่ายบริหารจำต้องทำอยู่แล้ว ซึ่งตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็นำคณะออกลงพื้นที่ทั่วไทยมาแล้วทุกภาค ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่เปรียบว่าเป็นสีอะไรก็ตาม และเจ้าตัวเองก็พูดบ่อยครั้งว่านายกฯ ต้องไปได้ทุกที่
 
กระนั้นการพบปะขึ้นเวทีกล่าวกับประชาชนในจังหวะและสถานการณ์ต่างๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และเป็นตัวสะท้อนให้เห็นอะไรที่ “บิ๊กตู่” ต้องการจะสื่อไปถึงประชาชนในตอนนั้น ในการไป จ.ร้อยเอ็ด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ก็พอมีเบื้องลึกให้มองพอจะหยิบยกมาเล่าให้ฟังได้อยู่
 
โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้น การไป จ.ร้อยเอ็ด ไม่ได้อยู่ในการวางคิวลงพื้นที่ในแผนช่วงนี้ แต่เมื่อดูจากผลคะแนนประชามติที่ออกมาก็เหมือนเป็นสิ่งที่บ่งชี้อะไรได้ว่า พื้นที่ไหนที่ควรจะลงไปสื่อสารทำความเข้าใจ
 
สำหรับร้อยเอ็ดเป็นพื้นที่ “ไม่รับ” ทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่จัดได้ว่าเป็นพื้นที่สีแดงเข้มคือ รับร่างรัฐธรรมนูญเพียง 35.98 เปอร์เซ็นต์ ไม่รับ 64.02 เปอร์เซ็นต์ และในส่วนคำถามพ่วง รับ 32.2 ไม่รับ 67.88 เปอร์เซ็นต์
 
“วันนี้ผมให้ความสำคัญกับ จ.ร้อยเอ็ด และภาคอีสานมากที่สุด แม้ว่าจะรับหรือไม่รับประชามติก็แล้วแต่ กระบวนประชาธิปไตยต้องเริ่มต้นด้วยประชามติก่อน ถึงมีรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่การเลือกตั้ง มีกลไก กติกาที่จะออกต่อมา อย่าไปกังวลว่าใครจะเป็นนายกฯ แต่ให้ไปดูว่า นายกฯ คนต่อไปเป็นใครและทำงานได้ดีหรือเปล่า จะทำได้เท่าที่ผมทำหรือเปล่า” พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไว้ เมื่อตอนพบชาวร้อยเอ็ด
 
นอกจากนี้ “นายกฯ” ยังขอซื้อใจกลับด้วยการอนุมัติโครงการพัฒนาในโมเดล “ร้อยเอ็ด 4.101” ที่ทางจังหวัดเสนอมา ทั้งหมดกว่าพันล้านบาท ซึ่งการลงพื้นที่ที่ผ่านมานั้นจะพิจารณาไฟเขียวเฉพาะโครงการที่จำเป็นก่อนเท่านั้น
 
หากมองดูแล้วยุทธศาสตร์การลงพื้นที่จากนี้เองของ “บิ๊กตู่” นั้น ส่วนหนึ่งก็จะเป็นการลงไปแบบขอเคลียร์ใจ โดยมองจากผลประชามติที่ออกมา ตามพื้นที่ที่คะแนนเป็น “โซนแดง” หวังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตนเองและคณะต่อไป และชัดเจนอยู่แล้วว่า คะแนนจากพื้นที่ “โซนเขียว” ก็ถือเป็นแรงหนุนอย่างดีกับการเดินหน้าลุย
 
โดยอีกสัญญาณที่บอกว่า "บิ๊กตู่” พร้อมลุยหลังผ่านด่านประชามติไปแล้วก็คือ การใช้มาตรา 44 ที่จากนี้จะเด็ดขาดมากขึ้น
 
คล้อยหลังทัวร์ร้อยเอ็ด ก็มีการ “ฟันฉับ” พักงาน “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯ กทม. ที่เจอกับคดีร้อนและเป็นที่จับจ้องของสังคมอย่างมากมาระยะหนึ่งแล้ว แต่กระนั้นก็ยังหลุดรอดจากการลงดาบข้าราชการ ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เมื่อลอตของปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นเป็นที่ถูกมองว่าไม่น่ารอด เพราะสตง.เองก็ชงเรื่องมาที่ ศอตช.แล้ว แต่แล้วก็ไม่รอด ถูกเชือดขณะที่เจ้าตัวกำลังอยู่ในภารกิจราชการที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
 
"บิ๊กตู่” ชี้แจงถึงการลงดาบครั้งนี้ว่า เพื่อให้เป็นผลดีของทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายตรวจสอบและผู้ถูกตรวจสอบ และไม่ให้เป็นการ “สองมาตรฐาน” ในการลงดาบข้าราชการที่ต้องถูกสอบเรื่องเกี่ยวข้องกับการทุจริต
 
อีกหนึ่งกระแสที่อาจเป็นไปได้ว่าต้องปรับเปลี่ยน คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหากมองระยะเวลาที่รัฐบาลประยุทธ์เข้ามา เดือนกันยายนก็จะครบ 2 ขวบพอดี และจากที่ปรับไปชุดล่าสุดก็ทำงานมาได้ 1 ปีแล้ว ตามไทมิ่งการบริหารงานนั้น ย่อมไม่แปลกที่จะต้องมีการประเมินและปรับเปลี่ยนในจุดที่เห็นสมควรหรือสอบตก เพื่อเข้าสู่การทำงานในปีที่ 3 ต่อไป
 
ยุทธศาสตร์เข้าเลข 3 นี้ จึงบังคับให้ใส่เกียร์ลุยเท่านั้น!!
 
 
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ