ภูมิธรรม ยันรัฐบาลสุดซอย 'ดิจิทัลวอลเล็ต' กดปุ่ม 1 ก.พ. 67

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์   เปิดเผยว่านโยบาย "ดิจิตอลวอลเล็ต" เติมเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาลที่กระแสสังคมมีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน   ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่มีโครงการมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน  เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับทุกเรื่อง ซึ่งรัฐบาลรับฟังและนำมาวิเคราะห์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเท่าที่อยู่ในเงื่อนไขไม่เสียหลักการ ยืนยันว่าไม่กระทบ และจะเดินหน้าทำงาน พร้อมกันนี้ยินดีที่จะปรับปรุงรายละเอียดตามข้อเสนอแนะ   โครงการนี้ไม่ผิดหลักการที่จะใช้เงินส่วนนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ของประเทศในภาวะที่กำลังยากลำบาก    และนโยบายนี้จะเริ่มได้ภายในวันที่ 1 ก.พ. 67 ตามที่นายกรัฐมนตรีได้พูดไว้ 

 

 

 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์    เปิดเผยว่า  แนวคิดของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  ที่ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนออกมาส่งเสียงต่อต้าน การคัดค้านการแจกเงินดิจิตอลวอลเล็ตคนละ 10,000 บาท    "ดิจิตอลวอลเล็ต" ของรัฐบาล  เรื่องนี้ในหลักการเอาเงินไปแจก ส่วนใหญ่ใครก็เอา ไม่ต้องไปถามหรือไปส่งเสียงให้ออกมาสนับสนุน แต่สิ่งที่ต้องสื่อสารก็คือ เงินที่จะเอาไปแจก เป็นเงินของประเทศ เป็นเงินที่ประชาชนจะต้องแบกรับภาระร่วมกันในอนาคต ไม่ใช่เงินส่วนตัวของนายเศรษฐา

ประชาธิปัตย์  วิพากษ์ต้นเรื่องเพราะไปหาเสียงเอาไว้

.

 

คนที่เห็นต่างจึงมีสิทธิแสดงออก เพราะจะเป็นภาระกับตัวเองในอนาคตด้วย และประชาชนก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องว่าต้องการเงินหมื่นบาท แต่เป็นเรื่องพรรคการเมืองที่ไปเสนอให้เพื่อแลกกับคะแนนตอนหาเสียง   เมื่อได้เสียงมาแล้วก็จำเป็นต้องทำ แต่ต้องทำบนความรับผิดชอบของพรรคการเมืองนั้นๆ ที่เป็นต้นคิด รวมทั้งรัฐบาลที่ไปผูกมัดไว้เป็นนโยบายด้วย

 

 

 

ฉะนั้นหากเกิดความเสียหายขึ้นในอนาคต จะไปโทษประชาชนหรือโทษคนอื่นไม่ได้ การไปปลุกประชาชนที่เห็นด้วย ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับฝ่ายที่เห็นต่างจึงเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นการปลุกประชาชนออกมาชนกันแล้ว ยังเหมือนไปเอาประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์กำบังความรับผิดชอบประชานิยมในอนาคตให้กับพรรคการเมืองและรัฐบาลด้วย ซึ่งคนมีวุฒิภาวะไม่ควรทำ 

 

 

 

ส่วนความคืบหน้าในการพิจารณาญัตติการติดตามการแจกเงิน ดิจิตอลวอลเล็ต  ในคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจของสภาผู้แทนราษฎรสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้เสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมแล้ว โดยคณะกรรมาธิการได้มีมติให้เชิญกระทรวงการคลังและผู้แทนของธนาคารแห่งประเทศไทย มาให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการในวันพฤหัสบดีที่  19  ต.ค.  ซึ่งเท่ากับว่านอกจาก   คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)  , ผู้ตรวจการแผ่นดิน   ,ธนาคารแห่งประเทศไทย และนักวิชาการจากหลายสถาบันที่กำลังติดตามแล้ว กรรมาธิการของสภา ก็ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน