"เปิดเอกสาร"ศบค. สั่งเก็บข้อมูล ผู้ชุมนุม ติดเชื้อ พร้อมระดมจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ จากสิงคโปร์ อิสราเอล ยูเออี
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่งหนังสือเวียน "เปิดเอกสาร"ศบค. เสนอความเห็น เก็บข้อมูลสถิติ"ผู้ชุมนุม"ติดเชื้อโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมตรี (ครม.) ได้ส่งหนังสือเวียน ถึงรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และกระทรวง ทบวง กรม ให้รับทราบถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) (ศบค.) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นผู้อำนวยการ ศบค. เป็นประธานประชุมประธานในที่ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
รายงานการประชุมฉบับดังกล่าว มีประเด็นน่าสนใจอย่างยิ่ง อันเป็นผลจากการรายงานสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิดที่ยังเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ การประชุมศบค.เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 นอกจาก พิจารณาขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการยกระดับควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนนำไปสู่การประกาศมาตรการล็อกดาวน์ 29 จังหวัดแล้ว
พบว่า ในที่ประชุมได้มีการเสนอความเห็นเพื่อหาทางลดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ให้ได้ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
เช่น นอกจากระดมการติดต่อซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ จากอินเดีย สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์แล้ว
อีกประเด็นมีการเสนอให้ รวบรวมสถิติ การติดเชื้อของผู้ชุมนุมในที่สาธารณะ นำมาวิเคราะห์ร่วมกับ การติดเชื้อของกลุ่มต่างๆในสังคม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตร.เตือน กลุ่มผู้ "ชุมนุม" เสี่ยงติดโควิด-19 พ่วงผิดกฎหมาย คุก 2 ปี
ช็อก.! ม็อบมือระเบิดติด"โควิด" ผวา"คลัสเตอร์" แพร่เชื้อกลางกรุงฯ
"โควิดวันนี้" พบผู้เสียชีวิตยังพุ่งถึง 209 ราย ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ยังทะลุหลัก 2 หมื่น
ที่ประชุมมีความเห็นและข้อเสนอดังนี้ 1. ควรลดระยะเวลาและเพิ่มช่องทงในการเข้าถึงยาเพื่อรักษาอาการของโรคโควิด-19 ของประชาชนให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ระบบการแยกกักตัวที่บ้าน หรือแยกกักในชุมชน โดยเฉพาะยาฟาวิพิราเวียร์ ที่จะจัดให้ทันทีที่ตรวจพบว่าติดเชื้อ
2.ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโรคโควิด-19 และพิจารณาปรับปรุงคู่มือการรักษาโรคโควิด-19 ให้เทียบเท่าระดับสากล รวมทั้งศึกษาข้อมูลยาชนิดอื่นๆ ของภาคเอกชนหรือในต่างประเทศ และเพิ่มช่องทางให้สถานพยาบาลเอกชนสามารถสั่งซื้อยาได้โดยตรง อาทิ การสั่งซื้อยาจากประเทศอินเดีย ซึ่งได้มีการเจรจาไว้เบื้องต้นแล้วเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้โควต้าของประเทศไทย
รวมถึงการพิจารณาความร่วมมือด้านยาร่วมกับสาธารณรัฐสิงคโปร์ อิสราเอล และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งนี้ควรเร่งจัดเตรียมยาต้านไวรัสโควิด -19 ชนิดอื่นๆ นอกจากยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อรองรับการแพร่ระบาดที่อาจมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายน 2564
3. ควรมีการจัดทำสถิติข้อมูลการติดเชื้อของผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต อาทิ ร้อยละของการติดเชื้อจากการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ ร้อยละของการเสียชีวิตในกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ ) ร้อยละของการได้รับวัคซีนในกลุ่มผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต
4.ควรมีการนำเสนอรายงานการทบทวนคู่มือการรักษาของ สธ.และการปรับความสะดวกการเข้าถึงยาต้านไวรัสที่มีคุณภาพตามความเหมาะสม ของสถานะของผู้ติดเชื้อ /ผู้ป่วย เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตลง และลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ในการรับมือกับผู้ป่วยอาการหนัก
ทั้งนี้ ให้นำเสนอยุทธศาสตร์การเตรียมพร้อมในการเตรียมยาสำรองสำหรับผู้ป่วย และประเภทของยาที่พึงมีตามมาตรฐานสากล เพื่อใช้ในการรักษาให้เพียงพอ โดยให้นำเสนอ ศบค.ภายใน 30 วัน
5. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการรวบรวมรายชื่อสถานพยาบาลที่มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการที่จะพิจารณาสั่งซื้อยาตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับด้วยมิตรภาพอันดีจากประเทศอินเดีย โดยให้จัดทำสรุปยอดรวม ประเภทยา ทั้งรัฐและเอกชน ภายใต้โครงการนี้ เสนอ ศบค.ภายใน 15 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง