'รอยดำจากสิว' แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง แต่อาจจะทำให้เกิดความเครียด ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจได้เช่นกัน
สิว ตุ่มเล็กๆ บนใบหน้า แต่เป็นปัญหาใหญ่รบกวนจิตใจที่ต้องรีบรักษาให้หาย แต่เมื่อสิวหายแล้ว หลายๆ คนอาจชะล่าใจและละเลยการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี ซึ่งในความเป็นจริงวงจรปัญหาผิวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ รอยดำจากสิว เป็นปัญหาที่เกิดตามมา แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง แต่อาจเกิดความเครียดซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ วันนี้ คมชัดลึก จะพาไปดูกันว่า รอยดำจากสิวเกิดจากอะไร หากเป็นแล้วควรรักษาอย่างไร
รอยดำจากสิว เกิดจากการอักเสบที่ใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็น สิว โดยร่างกายจะมีการหลั่งสารอักเสบออกมาที่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเป็นจำนวนมากในบริเวณที่เกิดการอักเสบ เกิดเป็นรอยดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้พฤติกรรมการแกะสิว บีบสิว ก็อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นสิวเกิดการบวมแดงและอักเสบมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดรอยสิวหรือรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยากขึ้น
โดยลักษณะความเข้มและสีของรอยดำจาก สิว จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการอักเสบ ยิ่งอักเสบมาก รอยดำจากสิว ก็ยิ่งเข้มและหายช้า ซึ่งโดยปกติสีของรอยสิวจะค่อยๆ จางลงได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน หรือมากกว่านั้น การลดรักษารอยดำจากสิวจึงควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี ภายหลังจากการอักเสบของสิว
รอยดำจากสิว มีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน ทำให้มีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งระยะเวลาการลดรอยดำจากสิวนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเข้มของรอยสิวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือเป็นการช่วยลดรอยดำจากสิวที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ โดยอาจเลือกกินผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากช่วยลดการอักเสบของสิวแล้วยังช่วยลดรอยดำจากสิวได้เช่นกัน
2.หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว
ในขณะที่เราเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังมากขึ้น หรือทำให้สิวอักเสบกระจายไปบริเวณอื่นจนทำให้เกิดรอยสิวเยอะมากขึ้น ซึ่งหากเลี่ยงได้นอกจากช่วยลดการอักเสบแล้ว ยังช่วยให้การลดรอยดำจากสิวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3.หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดดถือเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้รอยดำจากสิวเข้มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สีผิวบริเวณนั้นไม่สม่ำเสมอด้วย แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 11.00-15.00 น. และทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและยังลดรอยดำและจุดด่างดำจากสิวได้ด้วย
4.ทรีตเม้นต์หรือเลเซอร์ลดจุดด่างดำและรอยสิว
การรักษารอยดำจากสิวหรือหลุมสิวด้วยการทำทรีตเม้นต์หน้าหรือเลเซอร์ลดรอยสิว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่มีปัญหานี้เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว เพียงแต่ต้องเพิ่มการดูแลผิวอีกหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและสามารถวัดผลได้จริง โดยการทำทรีตเม้นต์หน้าที่ช่วยในการรักษารอยสิวที่นิยม ได้แก่
- การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ : การใช้กรด AHA เข้ามาช่วยเป็นตัวกระตุ้นในการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้เซลล์ผิวชั้นในสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ช่วยให้จุดด่างดำหรือรอยสิวต่างๆ ดูจางลง
- การทำเลเซอร์ : การรักษาด้วยเลเซอร์จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีปัญหารอยหลุมสิว ต้องการลดรอยแผลสิวหรือรอยดำจากสิวที่มีขนาดใหญ่และฝังลึกที่จัดการได้ยาก การเลเซอร์จะเป็นลักษณะของคลื่นพลังงานเข้มข้นที่เข้าไปทำลายเซลล์ผิวบริเวณหลุมสิว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้น การรักษาด้วยแนวทางนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและควรดูแลผิวหน้าภายหลังการรักษา โดยไม่ควรทำอย่างต่อเนื่องเพราะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง แพ้ง่าย ไวต่อแดด
5.ผลิตภัณฑ์ช่วยรักษารอยดำจากสิว
การอักเสบของสิวทำให้เกิดปัญหารอยดำจากสิวอักเสบตามมา อีกหนึ่งวิธีการจัดการปัญหารอยสิวที่ง่ายและสะดวก คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลปัญหารอยสิวที่มีประสิทธิภาพ ลดการเกิดสิวซ้ำซาก และเพิ่มความกระจ่างใส
ดังนั้น เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาสิวอักเสบและปัญหา รอยดำจากสิว ควรใส่ใจดูแลผิวหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ และเมื่อเป็น สิว ควรรีบดูแลทันที อย่าปล่อยปัญหาทิ้งไว้เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้รอยสิวมีสีเข้มขึ้นจนดูแลได้ยาก ซึ่งอีกหนึ่งวิธีลดรอยดำจากสิวที่สามารถทำได้คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดรอยดำและป้องกันการเกิดรอยดำจากสิวได้อย่างตรงจุด พร้อมปรับสภาพผิวให้สว่างกระจ่างใส เรียกว่าตอบโจทย์การดูแลผิวได้อย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง