เส้นทางคนคิวบู๊
หลายคนอาจไม่ทราบว่า พันนา ฤทธิไกร มีชื่อจริงว่า “กฤติยา ลาดพันนา” เขาเกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2504 เป็นชาวตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
พันนามีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เขาเป็นลูกคนที่ 5 และเป็นพี่ชายของ “อรนุช ลาดพันนา” หนึ่งในนักพากย์ภาพยนตร์ของ “พันธมิตร”
บิดาของพันนาเป็นข้าราชการครู ขณะที่พันนาจบการศึกษาระดับป.7 โรงเรียนดอนหันวิทยายน (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการขอนแก่นในปัจจุบัน) และจบระดับมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนขอนแก่นวิทยายนและ วิทยาลัยพลศึกษามหาสารคาม
ว่ากันว่าที่เขาเลือกเรียนสายพลศึกษาเพราะตั้งแต่เด็ก พันนาชอบเรื่องของการต่อสู้ หรือฉากแอกชั่นจากในหนังเป็นอันมาก ยามว่างก็จะครูพักลักจำท่วงท่าจากที่เห็นในหนังต่างๆ เช่น “บรู๊ซ ลี” จึงเลือกเรียนพลศึกษาเพื่อเข้าใจพื้นฐานในการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ถูกต้อง
หลังจบวิทยาลัยพลศึกษามหาสารคามราวปี 2524 เด็กหนุ่มวัย 22 จากที่ราบสูงก็ตัดสินใจมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ โดยการแนะนำของเพื่อนรักคนหนึ่งเพื่อไปสมัครเล่นหนังกับ “คมน์ อรรคเดช” แห่งโคลีเซี่ยมฟิล์ม
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาได้เข้าฉากก็คือเรื่อง “ไอ้ผาง ร.ฟ.ท.” (ปี 2526) เป็นฉากเสี่ยงตายที่เล่นแทน ม.ล.สุรีย์วัลย์ สุริยง อีกหนึ่งนางเอกนักบู๊ของคนไทย โดยเขาต้องขึ้นไปสู้กับผู้ร้ายบนหลังคารถไฟ ซึ่งพันนาฯ เป็นสตั้นท์แมนที่ได้รับความไว้วางใจจากกองถ่ายคนเดียวให้ขึ้นไปเล่นฉากนี้เนื่องจากต้องใช้ทักษะสูงขณะเดียวกัน ทั้งนี้พันนาเองก็เป็นผู้ฝึกสอนคิวบู๊ให้กับ ม.ล.สุรีย์วัลย์ สุริยง อีกด้วย
ไอ้ ผาง ร. ฟ. ท.
ทางที่เลือกเดิน
ต่อมาพันนา ได้กลับขอนแก่นบ้านเกิดมาตั้งทีมงานของตัวเอง ปิดรับสมัครจากผู้ที่สนใจในแม่ไม้มวยไทย และศิลปะการต่อสู้ แล้วก็เริ่มก่อตัวเป็นทีมจากจำนวนผู้เข้าฝึกร่วม 20 คน ชื่อว่า “กลุ่มสตั้นท์แมน พี พี เอ็น” หรือ เพชรพันนาโปรดักชั่น
ทีมงานของพันนา ทำการฝึกอย่างเอาจริงเอาจังตั้งแต่ปี 2525 พันนาจะเป็นผู้สอนเองโดยใช้เวลาว่างจากการถ่ายทำภาพยนตร์ที่กรุงเทพฯ
ที่สุดราวปลายปี พันนาจึงเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “เกิดมาลุย” ว่ากันว่างานนี้ถึงขั้นที่พันนาตัดสินใจขายที่นา แล้วนำเงินก้อนใหญ่มาร่วมแรงร่วมใจกับพรรคพวกสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา
เกิดมาลุย ออกฉายเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2529 ประสบความสำเร็จในระดับที่ใช้ได้ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดถือว่าเข้าขั้นดีมาก แต่เรื่องนี้ต้องนับว่าเป็นหนังไทยบู๊แนวใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ได้รับเสียงวิจารณ์ในทางบวกอย่างล้นหลาม
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อของพันนาก็โดดเด่นขึ้นมาในฐานะผู้กำกับ นักแสดง สตั้นท์แมนในภาพยนตร์แอ็คชั่นมานับไม่ถ้วน นับร้อยเรื่องที่พันนามีส่วนรับผิดชอบในงาน ผ่านการร่วมงานกับนักแสดงชายไทยมานับไม่ถ้วน ไม่ว่า สรพงศ์ ชาตรี ฉัตรชัย เปล่งพานิช และเป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ของนักแสดงแอ๊คชั่นหลายคน เช่น จา พนม เดี่ยว ชูพงษ์ ฯลฯ
พูดได้ว่าพันนาเติบโตจนเห็นทั้งยุครุ่งเรือง ร่วงโรย และเกิดใหม่ของหนังไทย และยิ่งประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเขาทำงานร่วมกับสตูดิโอใหญ่หลายเรื่อง เช่น อาทิ ปีนเกลียว (2537)องค์บาก (2546)ต้มยำกุ้ง (2548) ฯลฯ ที่สำคัญพันนายังนเป็นครูผู้สร้างนักแสดงคิวบู๊ชั้นเยี่ยมขึ้นมาประดับวงการอีกมากมาย