18 ธ.ค.2489 กำเนิด 'สตีเวน สปีลเบิร์ก' ผู้กำกับหนังโลกจารึก
#วันนี้ในอดีต กำเนิด 'สตีเวน สปีลเบิร์ก' ผู้กำกับหนังโลกจารึก วันนี้เมื่อ 73 ปีก่อน จากเด็กชายช่างมโนแท้ๆ
*******************************
จริงๆ ก็ไม่รู้จะบรรยายสรรพคุณผู้กำกับภาพยนตร์ระดับตำนานคนนี้ยังไง เพราะคนไทยนักดูหนังจะรู้จักเขาอยู่แล้ว เผลอๆ จะแน่นว่าเนื้อหาของคอลัมน์ที่จะนำเสนอเสียอีก
แต่ยังไงเสียในเมื่อวันนี้เมื่อ 73 ปีก่อน ตรงกับวันที่ 18 ธันวาคม 2489 คือวันที่ "สตีเวน อัลลัน สปีลเบิร์ก" ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ผู้สร้างหนังผู้ยิ่งใหญ่ หรือ ฉายา "พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด" ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
ครั้นจะเล่าประวัติเพื่อเป็นการแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ก็เกรงว่าแฟนๆ จะเบื่อ ถ้าเช่นนั้นวันนี้เรามารวมฮิต 5 สุดยอดภาพยนตร์ระดับตำนานของเขากันดีกว่า
จากเด็กชายผู้ชอบมโน
แต่จะไม่แตะประวัติเลยก็เกรงใจ งั้นมาทำความรู้จักจุดเริ่มต้นของเขาสั้นๆ พอหอมปากหอมคอ
สตีเวน เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เป็นชาวโอไฮโอ จากนั้นไปโตที่นิวเจอร์ซี และย้ายไปที่อริโซนาร์ ด้วยความพ่อของเขาเป็นวิศวกร หากแต่แม่เป็นนักเปียโนคลาสสิก และการที่ทั้งคู่ก็ได้หย่าร้างกันในเวลาต่อมา ส่วนหนึ่งหลายคนก็คงไม่แปลกใจอยู่แล้ว
แต่ปรากฏว่าเด็กชายสตีเว่นกลับรับเอาดีเอ็นเอทั้งของพ่อแม่มาใช้ได้อย่างลงตัวกับอาชีพในเส้นทางภาพยนตร์ เพราะแม้ว่าโดยทั่วไปเขาก็ดำเนินชีวิตตามปกติ แต่อีกภาคหนึ่งเมื่อเขาอยู่กับตัวเอง วันๆ ก็จะเอาแต่นั่งจินตนาการโน่นนี่นั่น เห็นอะไรก็จะมโนไปเป็นเรื่องราวต่างๆ อยู่เสมอ
หนูน้อยนักมโนวัยเด็ก ภาพจาก photonparadise.blogspot.com
จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัย 12 ปี เขาก็เริ่มทำหนังจากกล้องของพ่อ โดยเป็นหนังเกี่ยวกับการปล้นรถม้าโดยสารสมัยก่อน มีความยาว 3 นาทีครึ่ง ลงทุนไป 10 ดอลลาร์ และถ้าจะนับว่านี่คือหนังเรื่องแรกของเขาก็ถูกต้องแล้ว
หลังจากนั้นเมื่อเขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สเตท, ลองบีช ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนวิชาภาพยนตร์เลย แต่ด้วยความรักชอบ จึงไปสมัครงานกับบริษัทสร้างหนังในท้องถิ่นที่เมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนา
คราวนี้ เขาทำหนังไซไฟ ความยาว 2 ชั่วโมง เรื่อง “Firelight” ตามมาด้วยหนังสั้นเรื่อง “Amblin” ในปี 2512 ด้วยวัยเพียง 23 ปี แล้วนำไปเสนอกับบริษัทยูนิเวอร์แซล จนได้งานทำภาพยนตร์สั้นออกมา 3 เรื่องออกทางโทรทัศน์
หนึ่งในนั้นคือ Duel หนังเขย่าขวัญที่ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดของหนุ่มน้อยสตีเว่น หนังดังได้รับความนิยมไม่พอ ยังไปคว้ารางวัลจากยุโรปกลับมาอีกด้วย
ผุ้กำกับดังวัยหนุ่ม ภาพจากเฟซบุ๊ก Sidney Zaoui
แน่นอนหลังจากนั้น คนไทยก็เริ่มรู้จักเขาจากภาพยนตร์สุดระทึกอย่าง Jaws แล้วทำไมเราจะไม่เริ่มต้นด้วยเรื่องนี้กัน อ๊ะ ๆ ขอบอกก่อนว่า รายชื่อ 5 สุดยอดหนังต่อไปนี้ ขอคัดมาเฉพาะตำนานหนังที่ขึ้นหิ้งคลาสสิกเท่านั้น
Jaws ฝังเขี้ยว
สมัยก่อน บ้านเรายังไม่มีหรอก การตลาดแบบ ฉายพร้อมอเมริกา หรือ ดูก่อนใครในโลก ตรงนี้ให้เป็นเกร็ดว่า การฉายก่อนหรือฉายพร้อมของไทยนั้น เช่นเพราะตารางฉายที่เมกาอาจจะชนกับหนังอีกเรื่อง
หรือฉายก่อน 1-2 วัน เพราะบ้านเราหนังใหม่เข้าโรงวันพุธหรือพฤหัส แต่ที่อเมริกาหนังจะเข้าช่วง Weekend กันเด็กโดดเรียนไปดูหนังถูก (ฮา)
หรือเพราะโฆษณาไปงั้นแหละ ที่จริงคือฉายวันเดียวกัน เพียงแต่เวลาบ้านเราไวกว่าอเมริกา 12 ชั่วโมง
แต่เอาเถอะ จะยังไงก็ตามแต่ สมัยก่อนกว่าที่หนังเรื่องหนึ่งจะเข้าฉายบ้านเราไม่ได้มาง่ายๆ อย่าง Jaws ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ฉายที่อเมริกาในปี 2518 แต่มาฉายบ้านเราก็ปาไปอีกหนึ่งปี คือในปี 2519
ตอนนั้น จอวส์ยังไม่มีชื่อไทย คงเพราะไม่รู้จะตั้งว่าอะไรดี ขนาด จอวส์ 2 ตามมาในปี 2521 ก็ยังเรียก “จอวส์ 2” แต่คราวนี้น่าจะเพราะชื่อนี้ขายได้ ติดตลาดแล้ว
จอวส์ 1 ฉายครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์ปารีส-สกาล่า-พาราเมาท์-อินทรา เป็นเรื่องราวของฉลามกินคนที่มาโผล่แถบหาดอมิตี้ ที่เขมือบไปหลายศพ แต่ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นฉลาม เพราะปกติฉลามจะไม่มาอาละวาดแถบนี้ และอีกอย่างที่หาดกำลังจะจัดงานประจำปีอีก
เรื่องนี้ถือว่าเปิดศักราชหนังฉลาม และใช้ความหวาดกลัวต่อสัตว์ร้ายใต้ทะเลลึกมาเป็นจุดขาย แต่บอกเลย จอวส์ 1 สนุกตื่นเต้นเร้าใจ หลายคนอินจัดต้องรีบหดขาขึ้นเก้าอี้อยู่หลายช็อต ทำให้หนังจอวส์กลายเป็นตำนานของผู้ชายชื่อสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่คนไทยจารึกไว้ว่าถ้าเป็นคนนี้กำกับฉันต้องไม่พลาด
แล้วจะไม่ให้เรียกว่า “จอวส์ฝังเขี้ยว” ได้ยังไงไหว!
อินดี้ที่รัก
ปี 2524 คนไทยเต็มอิ่มกับสุดยอดภาพยนตร์จากผู้กำกับคนนี้อีกครั้งในเรื่อง "ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า" Raiders of the Lost Ark อันเป็นตอนแรกของ "ภาพยนตร์ซีรีส์ อินเดียน่า โจนส์"
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นย้อนไปในปี 2489 เมื่อ ดร.อินเดียน่า โจนส์ นำแสดงโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีที่ชอบตามล่าหาขุมทรัพย์ล้ำค่าต่างๆ จากทั่วโลก
และครั้งนี้เขาต้องตามหาหีบแห่งบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของโมเสส ที่ว่ากันว่า ผู้ใดได้ครอบครองผู้นั้นจะสามารถเอาชนะได้ในทุกสงคราม ซึ่งเขาต้องตามาหาให้พบก่อนที่คนของฮิตเลอร์จะพบเสียก่อน
อื้อหือ...เนื้อเรื่องสนุกสนานตื่นเต้นแบบนี้ แถมยังมีผู้ร้ายเป็นเจ้านาซีอีก ก็ได้ใจคนไทยและคนทั่วโลกสิครับ แถมบรรดาหนุ่มๆ อยากเป็น “หนุ่มอินดี้” กันทั่วบ้านทั่วเมือง
แล้วก็ไม่ได้แค่เสียงปรบมือ ปรากฏว่าหนังยังไปถูกใจท่านกรรมการรางวัลด้วย หนังเรื่องนี้เลยได้รับรางวัล และการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ ดังนี้
ได้รับรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม,ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม และในส่วนของรางวัลลูกโลกทองคำ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ได้รับการเสนอชื่อในสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ความตราตรึงของภาพยนตร์เรื่องนี้่ จึงนำมาซึ่งภาคต่อๆ มา คือ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 2 ตอน ถล่มวิหารเจ้าแม่กาลี หรือ Indiana Jones and the Temple of Doom ในปี 2527
ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด หรือ Indiana Jones and the Last Crusade ในปี 2532
ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว หรือ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ในปี 2551 ซึ่งทิ้งช่วงไปนานมากคราวนี้พระเอกอินดี้ของเราอายุอานามก็ปาเข้าไป 66 ปีแล้ว
และล่าสุด ปูเสื่อรอได้เลย คนไทยจะได้ดู Indiana Jones 5 ที่แว่วมาว่ากำหนดลงจอฉายให้ชมพร้อมกันในปีหน้านี้
ขวัญใจจากต่างดาว
ใครที่คิดว่าภาพยนตร์อี.ที. ต้องมาจากส่วนลึกในจินตนาการของผู้กำกับคนดังในวัยเด็ก คนนั้นคิดถูกแล้ว เพราะอี.ที.นั้นมีโครงเรื่องจากจินตนาการในวัยเด็กของเขารวมถึงประสบการณ์จริงที่เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน
ที่สุด อี.ที. เพื่อนรัก ในชื่อไทย หรือ E.T. the Extra-Terrestrial ภาพยนตร์ไซไฟ-แฟนตาซี ก็ได้ออกฉายตามมาในปี 2525
เป็นเรื่องราวของ เด็กชาย “เอลเลียต” ผู้ซึ่งพ่อกับแม่หย่าขาดจากกัน ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่ตกค้างอยู่บนโลก หลังจากยานอวกาศต้องเดินทางออกจากโลกอย่างกะทันหัน
เอลเลียตเรียกมนุษย์ต่างดาวตนนั้นว่า “อี.ที.” แล้วพากลับมาพักซ่อมตัวในบ้าน จากนั้นเขา พี่ชายและน้องสาว ร่วมมือกันหาทางช่วย อี.ที. สร้างเครื่องส่งสัญญาณวิทยุกลับไปในอวกาศเพื่อแจ้งให้ยานแม่กลับมารับ และหลบหนีการตามล่าจากเจ้าหน้าที่รัฐบาล ที่ต้องการตัว อี.ที. เพื่อไปทำการวิจัย
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงโชว์เทคนิคที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับยุคสมัยนั้น แต่เนื้อหายังกล่าวถึงความรักและมิตรภาพของเพื่อนต่างดวงดาวได้อย่างน่าประทับใจที่สุด และอาจจะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ไม่กี่เรื่องที่ให้ภาพของมนุษย์ต่างดาวในมุมที่น่ารักน่ากอดได้ขนาดนี้
แน่นอนด้วยความสำเร็จสุดๆ หลังจากออกฉายในปี 2525 แล้วยังได้รับการนำมาฉายซ้ำอีกในปี 2528 และ 2545 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของภาพยนตร์
ทั้งนี้ อี.ที. เพื่อนรัก ได้รับรางวัลออสการ์ชนะเลิศ 4 สาขา ได้แก่สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม,สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม,สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยมและสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
คืนชีพไดโนเสาร์
ถ้า จอห์น แฮมมอนด์ เป็นตัวละครที่ก่อตั้งธีมพาร์คชื่อ “จูราสสิค พาร์ค” ไว้บนเกาะอิสลา นูบลาร์ คือต้นกำเนินของไดโนเสาร์ที่ถูกโคลนขึ้นมาใหม่
สตีเว่น สตีเบิร์ก ก็คือผู้คืนชีพไดโนเสาร์ตัวจริง เพราะภาพยนตร์ "จูราสสิค พาร์ค“ หรือชื่อไทยว่า "จูราสสิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์" ในปี 2536 ประสบความสำเร็จชนิดฟ้าถล่มแผ่นดินสะเทือน
เพราะทำสถิติเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้มากที่สุดในโลกนานถึง 3 ปี ก่อนที่จะถูกทำลายสถิติลงโดยสตาร์ วอร์สฉบับฉายใหม่ ในปี 2539 แต่กระนั้นก็ดีก็ติดชาร์ตทำรายได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบันเป็นอันดับ 17 ของ Box Office ทั่วโลก
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ บริษัทด้านวิศวพันธุกรรมอย่าง อินเจ้นท์ อินดัสทรี่ ได้ทำการทดลองเปิดสวนสนุก ณ เกาะอิสลาร์ นูบลาร์ของประเทศคอสตาริก้าอย่างลับๆ โดยผลจากการทดลองอย่างลับๆ ของปาร์คนั้นได้สร้างความสยดสยองทั้งในปาร์ค และลุกลามไปตามชุมชนของหมู่เกาะต่างๆ ที่อยู่รายรอบเกาะอิสลาร์ นูบลาร์ เพราะการที่มนุษย์คิดเล่นบทเป็น “ผู้สร้าง” ที่หมายควบคุมพลังอำนาจแห่งธรรมชาติเช่นนี้ย่อมอาจนำไปสู่หายนะที่ไม่อาจจะควบคุมได้อย่างแน่นอน
พูดแล้วยังตื่นเต้นจนอยากกลับไปดูอีกรอบ แถมด้วยภาคต่อแบบจุใจ คือ The Lost World: Jurassic Park ใครว่ามันสูญพันธุ์ ในปี 2540, Jurassic Park III หรือ ไดโนเสาร์พันธุ์ดุ ในปี 2544 ที่ภาคนี้ได้ “โจ จอห์นสตัน” มาเป็นผู้กำกับแทน, จูราสสิค เวิลด์ หรือ Jurassic World ในปี 2558 ภาคนี้ได้ "โคลิน เทรวอร์โรว์" กำกับ และ Jurassic World: Fallen Kingdom อาณาจักรล่มสลาย ในปี 2561 ที่ผ่านมานี้เอง เรื่องหลังนี้กำกับโดยเจ. เอ. บาโญนา
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะยังไง สำหรับ จูราสสิค พาร์ค ต้นฉบับนั้นยังคงตรงตรึงในใจชาวโลกไปตลอดกาล
ยิวด่ายิว?
หลายคนบอกว่า ภาพยนตร์ "Schindler’s List“ หรือชื่อไทยว่า ”ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม" ซึ่งออกฉายในปีเดียวกับ จูราสสิคพาร์ค คือปี 2536 คือหนังโชว์ฟอร์มเครียดของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก และเขาก็ทำมันออกมาได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย
แต่หลายคนก็เชื่อว่านี่คือหนังที่สร้างออกมาจากส่วนลึกในใจของคนที่มีเชื้อสายยิวของเขาเช่นกัน
ดังที่เขาเคยเล่าเสมอว่า แม้ชีวิตจะไม่เคยผ่านสงครามโหดครัง้นั้น แต่ตนเองก็โตมากับเรื่องเล่าของนาซีเลือดเย็น เช่นแม่ของเขาเล่าให้ฟังถึงเพื่อนของแม่ที่เป็นนักเปียโนอยู่ในเยอรมนี แต่มาโดนทหารเยอรมันบุกขึ้นมาบนเวทีขณะที่เธอกำลังเล่นโชว์ แล้วทุบนิ้วเธอแหลกละเอียดทุกนิ้ว
สตีเว่นของเราจึงต้องการนำเสนอหลักฐานว่ามนุษย์สามารถทำเรื่องเลวร้ายต่อมนุษยืด้วยกันได้ถึงนาดนี้ เป็นความอัปยศของมวลมนุษยชาติที่ไม่เคยมีใครลืม
แต่ในเรื่อง ได้นำเสนอมุมมองที่จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งด้วย จากเรื่องราวของ “ออสการ์ ชินด์เลอร์” นักธุรกิจชาวเยอรมันที่ช่วยชีวิตคนงานชาวยิวในโรงงานของตัวเองเป็นจำนวน 1,200 ชีวิต ให้รอดพ้นจากการสังหารหมู่ในกรากุฟ ประเทศโปแลนด์ได้สำเร็จ
ภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรางวัลล้นหลามงามงด คือ รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลลูกโลกทองคำ คือ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ดรามา, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
จนถึงวันนี้ ความสุดยอดของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่คนไทยจดจำ คงไม่ใช่แค่รางวัลที่เขาโกยมากมากมาย แต่เป็นชื่อชั้นที่เราต่างเชื่อมือ และมันสมองของเขาว่ามันไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยจริงๆ
***********************************