ทำไมวันนี้คนดังมาเกิดเพียบ พวกเขามาจากดาวดวงไหนกัน
********************************
ดวงดาวของคนบอกอะไรเราหลายอย่างแล้วแต่ความเชื่อถือศรัทธา ในทางโหราศาสตร์ ท่านว่ามีความสำคัญมาก เช่นเดียวกับวันเกิด วันตกฟาก ก็มีความสำคัญควบคู่กันมา
ตัวอย่างเช่น วันนี้ในอดีต หรือตรงกับวันที่ 28 ตุลาคม ดูเหมือนว่าจะมีข้อน่าสังเกตบางประการ เพราะเช็คดูแล้ว มีคนดังมากมายที่เกิดตรงกับวันนี้
แม้จะต่างเวลา แต่ตัวเลข 28 ตุลาคม ก็อาจจะมีความหมายอะไรบางอย่างก็ได้ และคนดัง 3 รายที่จะหยิบยกมาพูดถึงในโอกาสนี้ มีดังต่อไปนี้
อัจฉริยะเจ้าพ่อไมโครซอฟท์
เมื่อเอ่ยฉายานี้ ทุกคนรู้ทันทีว่า หมายถึง “บิล เกตส์” หรือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม ผู้เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2498 หรือวันนี้เมื่อ 64 ปีก่อน ที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน
บิลล์ เกตส์ เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์, ส่วนบุคคลคนอื่นๆ ได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เค่รื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ)
เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชันขึ้น ซึ่งในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์
นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้ บิลล์ เกตส์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน
วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2
ภาพจาก https://65blogs.com/lifehacks/fabulous-life-of-bill-gates-the-richest-man-in-the-world/
บิดาของเขาคือ วิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์
วัยเรียน บิลล์ เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม
บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี
ต่อมาบิลล์ เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์
ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1
และขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็น โปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบ ความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสตทศวรรษที่ 70) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิก ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
บิลล เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2537 มีบุตรด้วยกันสามคน 8nv เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์, โรรี จอห์น เกตส์, และ ฟีบี อาเดล เกตส์
บิลล์ เกตส์ ติดอันดับหนึ่ง จากการจัดอันดับ “ฟอร์บ 400” ระหว่างปี 2536-2548 และติดอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บ ในปี 2539
ภาพจาก https://65blogs.com/lifehacks/fabulous-life-of-bill-gates-the-richest-man-in-the-world/
อย่างไรก็ดี แม้ว่า เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปี 2516 แต่เรียนไม่จบ แต่ราว 30 ปีต่อมา เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเดียวกันนี้เมื่อปี 2550
จูเลีย โรเบิร์ตส์
อัจฉริยะบานฉ่ำ
ชื่อเต็มของเธอคือ จูเลีย ฟีโอนา โรเบิร์ตส์ เกิดเมื่อวันนี้ของ 52 ปีก่อน ตรงกับวันที่ 28 ตุลาคม 2510
ดังที่รู้ เธอคือ นักแสดงหญิงชาวอเมริกันสุดโด่งดังอยู่แถวหน้า และมีชื่อเสียงโด่งดังมาจากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ผู้หญิงบานฉ่ำ ในปี 2533 ทำรายได้ทั่วโลกมากถึง 464 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดีที่ทำรายได้มากที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน
และความเทพของเธอคือ จูเลีย โรเบิร์ตส์ ยังเป็นนักแสดงที่มีค่าตัวสูงที่สุดในยุคคริสต์ทศวรรษ 1990 ถึงช่วงต้นยุคคริสต์ทศวรรษ 2000
โดยค่าตัวของเธอในภาพยนตร์เรื่อง ผู้หญิงบานฉ่ำ อยู่ที่ 3 แสนดอลลาร์สหรัฐ แต่หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จค่าตัวของเธอก็พุ่งขึ้นอย่างมหาศาล
โดยในปี 2546 ค่าตัวของเธอในการแสดงเรื่อง Mona Lisa Smile - ขีดชีวิต เขียนฝันให้บานฉ่ำ อยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมค่าตัวจากภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เธอแสดงแล้วจะอยู่ที่ 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ
แถมความบานฉ่ำของเธอ นิตยสารพีเพิลเคยจัดอันดับให้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกถึง 5 ครั้ง
จูเลียเกิดที่รัฐจอร์เจีย เติบโตมาโดยแวดล้อมไปด้วยบุคคลในวงการละครที่มาสัมมนาเชิงปฏิบัติการกับพ่อแม่ของจูเลียที่บ้าน ในนครแอตแลนต้า
ทั้งจูเลียและพี่ชาย อีริก โรเบิร์ตส์ ต่างสนใจการแสดงทั้งคู่ และเป็นฝ่ายอีริกเข้าสู่วงการภาพยนตร์ได้ก่อน ตอนนั้นจูเลียอายุได้ 11 ปี หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็ไปต่อมหาวิทยาลัยจอร์เจีย
แต่เรียนไม่จบ จูเลียจึงย้ายไปอยู่นิวยอร์ก ได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ โดยได้รับบทเป็นคู่อริกับพี่ชายในหนังเรื่อง Blood Red ซึ่งถ่ายทำเสร็จในปี 2529 แต่ออกฉายได้ในปี 2532
Blood Red
ระหว่างที่รอหนังออกฉาย ได้เล่นละครทีวีและหนังใช้ทุนสร้างต่ำอย่าง Firehouse ปี 2530 กระทั่งเริ่มมีผลงานครั้งแรกในละครชีวิตที่ฉายทางเคเบิลทีวี เรื่อง Satisfaction ในปี 2531
ซึ่งทำให้เธอได้รับบทประกอบที่ค่อนข้างเด่นในหนังเรื่อง Mystic Pizza ปี 2532 จึงทำให้มีคนเห็นแววและทาบทามไปเล่นเรื่อง Steel Magnolias ได้แสดงกับ แซลลี่ ฟิลด์, เชอร์ลีย์ แม็กเลน และดอลลี่ พาร์ตัน จนจูเลียได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก
ผลงานต่อมาโด่งดังเพราะมีทั้งรักในจอและนอกจอกับดารา “ไคเฟอร์ ซุตเธอร์แลนด์” ในเรื่อง Flatliners ปี 2533 แต่เรื่องที่ทำให้เธอโด่งดังคือภาพยนตร์เรื่อง Pretty Woman ในปีเดียวกัน
Flatliners
จากนั้นเธอก็มีงานมาเรื่อยๆ แม้ไม่โด่งดังเท่ากับ “pretty woman ผู้หญิงบานฉ่ำ” แต่ก็สามารถสร้างรายได้ในฐานะนักแสดงหญิงเบอร์ 1 ได้อย่างดี เช่น Dying Young ในปี 2534 หรือ Hook ปีเดียวกัน หรือ The Player ปี 2535
pretty woman
อย่างไรก็ดี ฉายาบานฉ่ำที่คนไทยมอบให้เธอ ยังสะท้อนออกมาในเรื่องราวชีวิตรัก เพราะเธอมักตกเป็นข่าวมุมนี้โด่งดังยิ่งกว่าผลงานเสียอีก
โดนหลังจากที่เลิกรากับซุตเธอร์แลนด์แล้ว ในปี 2536 จูเลียก็ไปแต่งงานกับนักร้องเพลงคันทรี่ “ไลล์ โลเว็ต” ซึ่งตอนนั้นถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์มากเรื่องความแตกต่างกันมากทั้งหน้าตาและสไตล์ ทั้งสองประคองรักกันได้เพียง 2 ปีเท่านั้นเอง ก็ทางใครทางมัน
ไลล์ โลเว็ต
ราวปี 2536 เธอกลับมาผงาดทางผลงานอีกครั้งใน The Pelican Brief ตามด้วย I Love Trouble และ Pret-a-Porter หรือ Ready to Wear ในปี 2537
ในปี 2539 มีหนังออกฉายถึง 3 เรื่อง แต่ชื่อเสียงเป็นเรื่องอนิจจัง เช่น Mary Reilly 2539 ตามด้วย Michael Collins และ Conspiracy Theory
แต่ในปี 2540 ถือเป็นปีที่จูเลียหวนคืนหมายเลขหนึ่งฮอลลีวู้ดอีกครั้ง ด้วยบทบาทไม่ว่าจะเป็น My Best Friends Wedding และ Runaway Bride ในปี 2542
ที่เด็ดๆสุดๆ คือ Notting Hill ในปีเดียวกัน เหมือนว่าเธอจะกลับมาเป็น “แอนนา สก๊อตต์” ของพวกเราอย่างเต็มหัวใจ
Notting Hill
ที่น่ายินดีคือไม่เพียงที่เธอยังได้ชื่อว่าเป็นนางเอกที่มีค่าตัวสูงสุดเทียบเท่าดาราชาย คือไม่ต่ำกว่า 20 ล้านดอลลาร์ แต่เธอยังคว้ารางวัลออสการ์จาก Erin Brockovich หนังปี 2543 อีกด้วย
ผลงานถัดๆ มาได้แก่ American ' s Sweethearts (2544) The Mexican (2544) Oceans Eleven (2544) Full Frontal (2545) และ Mona Lisa Smile (2545)
สำหรับชีวิตรัก ดูเหมือนว่า เธอจะพบกับตัวจริงในที่สุด โดยเธอเข้าพิธีสมรสเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี 2545 กับแดนนี่ มอเดอร์ ซึ่งเป็นตากล้อง
พวกเขาและมีบุตรฝาแฝด คือ ฮาเซล และ ฟินโนส ต่อมาเดือนมิถุนายน 2550 จูเลีย โรเบิตส์ ได้คลอดบุตรชายคนที่ 3 แล้ว คือ เฮนรี ดาเนียล มอเดอร์
แต่ก็ยังมีคนแซะเธออยู่ดีว่า จูเลีย คงติดภาพแอนนา จาก “นอตติ้ง ฮิลล์” ที่เกิดไปหลงรักผู้ชายธรรมดาเข้าน่ะสิ!
อัจฉริยะโจ๊กเกอร์สะท้านโลก
ใช่แล้ว เขาคือ วาคีน ราฟาเอล ฟินิกซ์ หรือ ที่เราเรียกเขาว่า วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin phoenix) ผู้รับบทบาทโจ๊กเกอร์ ภาพยนตร์ดังที่เรากำลังติดตามอยู่ตอนนี้ เขาเกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2517 และวันนี้เขามีอายุ 45 ปีแล้ว
วาคีน เดิมเข้าสู่วงการใช้ชื่อว่า "ลีฟ" แต่ข้อมูลหลายแหล่งก็บอกตรงกันว่า “วาคีน” เป็นชื่อดั้งเดิมของเขาตั้งแต่เกิด
และเรารู้ดีว่า เขามีพี่ชายที่เข้าวงการมาก่อน และจบชีวิตลาไปก่อนเวลาอันควรอย่างน่าเสียดาย คือ “ริเวอร์ ฟินิกซ์” นอกเหนือจาก พี่สาวชื่อ “เรน” และน้องสาวอีก 2 คนที่ชื่อ “ลิเบอร์ตี้” และ “ซัมเมอร์”
วาคีน คนนั่งกลางด้านหน้า
พ่อ-แม่ของวาคีนเป็นมิชชานารีที่เดินทางไปสอนศาสนาในที่ต่างๆ จนวาคีนมาลืมตาดูท้องฟ้าครั้งแรกที่เปอร์โตริโก้ ในปี 2518 นั่นเอง และจากนั้นชีวิตก็ติดสอยห้อยตามตามครอบครัวไปในหลายประเทศในอเมริกาใต้
ที่สุด เมื่อพ่อแม่ของเขาได้เลิกการเป็นมิชชันนารี่ ก็ได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น “ฟินิกซ์” จากที่เคยใช้นามสกุว่า “บอธท่อม” แต่ฟีนิกซ์ซึ่งมีความหมายว่าการเกิดใหม่ ฟังแล้วน่าจะดีกว่า
ที่สุด “วาคีน ฟินิกซ์” ก็ย้ายมายังลอส แอนเจลิส ตอน 4 ขวบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่โลกของแสงสีเสียงในเวลาต่อมา
ช่วงแรกบ้านนี้มีพี่สองคนที่เป็นนักแสดง คือ ริเวอร์ และ เรน ส่วนวาคิน ก็เอาบ้างโดยก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงโดยสวมบทในเรื่อง Spacecamp 2529 โดยใช้ชื่อ ลีฟ ฟีนิกซ์ ตอนนั้น อายุ 12 ปี
จากนั้น เขาได้แสดงนำในเรื่อง Russkies 2530 และ Parenthood 2532 โดยเรื่องหลังนี้ประสบความสำเร็จพอที่จะทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จัก
Parenthood
แต่เมื่อพี่ชายของเขา ริเวอร์ ฟินิกซ์เสียชีวิต ทั้งที่กำลังโดงดังสุดขีด โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง “Running on Empty” ริเวอร์ได้เข้าชิงออสการ์ รางวัลสมทบชายยอดเยี่ยม ในวัยเพียง 19 ปี
หลังพี่ชายตายจากการใช้ยาเกินขนาด ในขณะที่อายุเพียง 23 ปี วาคีนก็เหมือนหัวใจสลาย ที่น่าตกใจคือ วาคีนอยู่กับพี่ชายในคืนนั้นด้วย
ตอนที่พบว่าพี่ชายน็อค เขาพยายามโทร 911 เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป ช่วงนั้นมีการนำเสียงการโทรขอความช่วยเหลือของเขากับ 911 เผยแพร่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในข่าวทางวิทยุ
และข่าวจากสื่อ ส่งผลให้วาคีน หรือ ลีฟในขณะนั้น ตัดสินใจ หนีหายไปจากวงการพักใหญ่ และหวนกลับวงการใหม่ โดยใช้ชื่อว่า วาคีน ฟินิกซ์
วาคีนกลับมาราวนกฟีนิกซ์คืนชีพ เขารับบทแรกในภาพยนตร์ To Die For ของ กัส แวง แซงต์ ในปี 2538 บทบาทของเขาในเรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์จำนวนมาก
To Die For
จากนั้น เขาแสดงนำในเรื่อง Inventing the Abbotts 2540 คู่กับ ลิฟ ไทเลอร์ หนังไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านรายได้
ผลงานแสดงชิ้นต่อมาคือ U-Turn ปีเดียวกัน กำกับโดย โอลิเวอร์ สโตน ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย จนกระทั่งมาถึงเรื่อง Return to Paradise ในปีต่อมา ปรากฏว่าได้รับความนิยมทั้งจากผู้ชมและนักวิจารณ์
จากนั้น ในปี 2542 รับบทแสดงร่วมกับกับ นิโคลัส เคจ ในเรื่อง 8MM ถึงแม้รายได้จะไม่ดีมากนัก แต่ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี
จนเขามาได้รับบทในหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง Gladiator กำกับโดยริดลีย์ สก็อต หลังจากนั้นก็มีผลงานต่อมา แสดงร่วมกับเมล กิ๊บสัน ในเรื่อง Signs ผลงานการกำกับของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน
โดยเฉพาะที่สุดเขาก็ขึ้นชั้นตัวพ่อจากการรับบท “จอห์นนี่ แคช” ในภาพยนตร์ “Walk the Line” 2548 เป็นหนังชีวประวัติของ นักร้องคันทรี่ชื่อดัง
Walk the Line
เรื่องนี้วาคีนทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาทั้งเรียนกีตาร์, ร้องเพลง และท่าทางของแคช เพื่อพยายามสวมบทเป็นแคชให้สมจริงที่สุด
ที่สุดวาคีน จึงถือว่าเป็นนักแสดงแถวหน้าอีกคนของฮอลลีวู้ด ที่มีผลงานมาสเตอร์พีซมากมาย
ยิ่งบทบาทล่าสุดของเขาใน “โจ๊กเกอร์” ที่กล่าวถึงต้นกำเนิดของตัวละคร ที่เวอร์ชั่นของวาคิน เป็นหนังแยกจบในตัว บอกเล่าเรื่องราวก่อนที่ “อาร์เธอร์ เฟล็ค” จะกลายเป็นโจ๊กเกอร์ โดยได้ “ท็อดด์ ฟิลลิปส์” ผู้กำกับหนังไตรภาค Hangover มาดูแลงานให้เนี้ยบที่สุด
หลังจากเข้าชิงออสการ์มา 3 เรื่อง คือ Gladiaotor, Walk the Line และ The Master วันนี้ โจ๊กเกอร์ในวิญญาณของวาคีน น่าจะมีออสการ์รออยู่เบื้องหน้าแล้ว
*******************************
ข่าวที่เกี่ยวข้อง