ปิดฉากเจ้าหญิงองค์สุดท้าย แห่งจักรวรรดิออตโตมัน
ในพระชนม์ชีพของเจ้าหญิงฟัตมาเรียกว่าทรงต้องลี้ภัยตั้งแต่พระองค์ยังมีพระชันษาได้ 3 ชันษา โดยทรงเจริญพระชันษาในเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส
************
วันนี้มีเรื่องราวต่างแดนมานำเสนอ เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงผู้สิริโฉมงดงามพระองค์หนึ่ง และความพิเศษพระองค์คือเจ้าหญิงองค์สุดท้ายของจักรวรรดิออตโตมัน โดยวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปเมื่อทรงมีพระชนมายุ 91 พระชันษา เจ้าหญิงฟัตมา เนสลีชาห์
ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับ จักรวรรดิออตโตมัน สักเล็กน้อย จักรวรรดิออตโตมัน ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 1996 หลังการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งมีคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล) เป็นเมืองหลวง ุ
สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 เป็นผู้นำในการทำสงคราม ตอนแรกที่ยึดคอนสแตนติโนเปิลได้ พระองค์ทรงเปลี่ยนโบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ที่เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ เป็นมัสยิดในศาสนาอิสลาม
จักรวรรดิออตโตมันมีอาณาเขตที่ครอบคลุมถึง 3 ทวีป ได้แก่ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป ซึ่งขยายไปไกลสุดถึงช่องแคบยิบรอลตาร์ทางตะวันตก นครเวียนนาทางทิศเหนือ ทะเลดำทางทิศตะวันออก และอียิปต์ทางทิศใต้
แต่แล้วในที่สุด จักรวรรดิออตโตมัน ก็ถึงกาลล่มสลายในปี พ.ศ. 2466 มีจักรพรรดิเมห์เหม็ดที่ 6 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้าย และมีสาธารณรัฐตุรกี ขึ้นมาแทนที่ และมีมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก เป็นประธานาธิบดีคนแรก
สำหรับ เจ้าหญิงฟัตมา เนสลีชาห์ ผู้เลอโฉมนั้น ประสูติวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 ที่พระราชวังนิซันตาซี นครอิสตันบูล จักรวรรดิออตโตมัน
ทรงเป็นพระปนัดดาของกาหลิบคนสุดท้ายแห่งจักรวรรดิออตโตมัน โดยพระบิดาคือ เจ้าชายเซซาด โอมาร์ ฟารุก เอฟเฟนดี ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ.2512 หรือ 2514
จักรพรรดิเมห์เหม็ดที่ 6 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้าย
ทั้งนี้พระบิดาของ เจ้าหญิงฟัตมา เนสลีชาห์ ทรงเป็นโอรสใน กาหลิบอับดุลเมซิดที่ 2 กับพระมเหสีพระองค์แรก และ พระมารดาของ เจ้าหญิงฟัตมา เนสลีชาห์ คือ เจ้าหญิงรูกิเย ซาบิฮะ สุลต่าน (สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ.2514 ที่อิสตันบูล) พระธิดาในสุลต่าน และ กาหลิบคนสุดท้ายแห่งออตโตมัน สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 6 กับของพระมเหสีพระองค์แรก
ในพระชนม์ชีพของเจ้าหญิงฟัตมาเรียกว่าทรงต้องลี้ภัยตั้งแต่พระองค์ยังมีพระชันษาได้ 3 ชันษา โดยทรงเจริญพระชันษาในเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส
ต่อมาเจ้าหญิงฟัตมา เนสลีชาห์ อภิเษกสมรสกับ เจ้าชายมูฮัมหมัด อับเดล โมนีม พระราชโอรสในคีดิฟอับบาส ฮิลมีที่ 2 กับอิกบาล ฮานิม แห่งอียิปต์ พระองค์จึงทรงได้ดำรงพระอิสริยยศเป็น “เจ้าหญิงแห่งอียิปต์” อีกด้วย
ภาพจาก https://www.pinterest.com/banubayrak/ottoman/
งานเสกสมรสดังกล่าวถูกจัดขึ้นในพระราชวังเฮลิโอโปลิส กรุงไคโร เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) และมีพระโอรส-ธิดา 2 พระองค์ คือ 1.เจ้าชายสุลต่านซาด อับบาส ฮิลมิ อับดุลมูนิม เบเยเฟนดี (ประสูติ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1941) ที่กรุงไคโร ต่อมาได้เสกสมรสกับเมดิฮะ มุมตาซ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) มีพระโอรส-ธิดาด้วยกัน 2 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงกลอรี นาบิลา ซาบิฮะ ฟาติมะ ฮิลมิ ฮานิม (ประสูติ 28 กันยายน 2517 (ค.ศ. 1974-) และเจ้าชายกลอรี นาบิล ดาวูด อับเดลโมเนม ฮิลมิ เบย์ ประสูติ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ. 1979
และ 2.เจ้าหญิงอิกบาล ฮิลมิ อับดุลมูนิม ฮานิมสุลต่าน ประสูติ 22 ธันวาคม พ.ศ.2487 (ค.ศ. 1944-) ปัจจุบันมีพระชนมายุ 75 พระชันษา
ต่อมาพระสวามีของเจ้าหญิง ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระเจ้าฟูอัดที่ 2 ที่ยังเป็นทารกแรกประสูติ ซึ่งเป็นผลจากการสละราชสมบัติของพระเจ้าฟารุกที่ 1 แต่หลังการยกเลิกผู้สำเร็จราชการทั้งสามคนในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ.2495 (ค.ศ. 1952) คงเหลือแต่เจ้าชายโมฮัมหมัดแต่เพียงพระองค์เดียว พระสวามีจึงกลายเป็นเจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เจ้าหญิงฟัตมาต้องประกอบพระกรณียกิจเยี่ยงพระชายาของพระมหากษัตริย์ ทรงเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา อาทิการแข่งขันโปโลและการแข่งขันเทนนิสทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติรอบสุดท้าย
ที่สุด หลังทรงดำรงตำแหน่งในการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของเจ้าชายมูฮัมหมัด ท้ายที่สุดอียิปต์ก็ทำการปฏิวัติยกเลิกระบอบสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2496 (ค.ศ. 1953)
นายพลกาเมล อับเดล นัสซอร์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) พระสวามีและพระองค์ถูกจับกุมด้วยข้อหาวางแผนต่อต้าน นายพลกาเมล อับเดล นัสซอร์ ทั้งสองพระองค์จึงได้ถูกเนรเทศอีกครั้ง โดยเจ้าหญิงฟัตมาทรงพำนักในยุโรประยะหนึ่ง ก่อนที่จะเสด็จนิราศไปประทับในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี จนท้ายที่สุดเจ้าชายโมฮัมหมัดได้สิ้นพระชนม์ลงที่นั้นในปี พ.ศ.2522 (ค.ศ. 1979)
เจ้าหญิงฟัตมา เนสลีชาห์ ทรงใช้ชีวิตบั้นปลายพระชนม์พำนักอยู่ในนครอิสตันบูลร่วมกับพระธิดาที่ไม่เสกสมรสคือ เจ้าหญิงอิกบาล และเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงองค์สุดท้ายของราชวงศ์ออตโตมัน กระทั่งทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ.2555 (ค.ศ. 2012) ด้วยพระอาการพระหทัยพิการ (หัวใจวาย) สิริพระชนมายุได้ 91 พรรษา
โดนพระศพถูกฝังไว้ที่ นครอิสตันบูล อดีตราชธานีของจักรวรรดิออตโตมัน
************************