17 ต.ค.2560 "น้องเมย" ตายปริศนา!! สังคมคาใจ… ซ่อมหรือซ้อม?
ที่สุดพีค!!!!! คือ ยังพบว่าอวัยวะสำคัญหลายส่วนหายไป!!!! และคำพูดสุดท้ายว่า "อย่าไว้ใจ...ใครบางคน"!!
ช่วงปลายปีก่อน ข่าวหนึ่งที่สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมไทยชนิดทำเอาคนไทยนั่งไม่ติด เสียใจ เจ็บใจ และสงสัยพร้อมๆกันทั้งประเทศ คือ ข่าวที่ครอบครัวตระกูลตัญกาญจน์ เดินหน้าถามหาความจริง
และขอพึ่งพิงความยุติธรรม ต่อกรณีการเสียชีวิตของ “บุตรชาย” อันเป็นที่รัก "น้องเมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์" นักเรียนเตรียมทหาร วัย 18 ปี
ซึ่งวันนี้เมื่อปีที่แล้ว หรือตรงกับวันที่ 17 ต.ค.2560 คือวันที่น้องเมยเสียชีวิต และยังเป็นวันที่หัวใจของครอบครัวน้องเมย ต้องแหลกสลายไปด้วย!!
ย้อนไปในช่วงเวลาอันโหดร้ายดังกล่าว ข่าวคราวเรื่องนี้ เริ่มออกสู่สังคมข่าวสาร ราวๆ ช่วง วันที่ 20 พ.ย.2560 เมื่อครอบครัวของน้องเมย “ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ซึ่งประกอบไปด้วย บิดามารดา คือ พิเชษฐ และ สุกัลญา รวมถึงพี่สาว คือ เมี่ยง สุพิชชา ตัญกาญจน์
ได้ออกมาร้องผ่านสื่อมวลชน ต่อกรณีการเสียชีวิตอย่างปริศนา ดูมีเงื่อนงำ ของน้องเมย โดยครอบครัวเล่ากับสื่อมวลชนว่า น้องเมยเสียชีวิตเมื่อวันอังคารที่ 17 ต.ค. 2560 หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก ได้เพียง 1 วัน
และเล่าว่าทาง พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เปิดเผยผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ (ชันสูตรที่รพ.พระมงกุฏฯ) ถึงสาเหตุการเสียชีวิตของน้องเมยว่าเกิดจาก “หัวใจวายเฉียบพลัน”
จึงเป็นเหตุให้ทางครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาครอบครัวไม่เคยได้รับการติดต่อจากโรงเรียนเตรียมทหาร หรือแม้แต่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุการเสียชีวิต และสาเหตุที่ทำให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันแต่อย่างใด
พูดง่ายๆ ว่า “ไม่เคลียร์” ด้วยประการทั้งปวง ดังนั้น ทางครอบครัวจึงได้เดินหน้าหาความจริงด้วยตนเอง!!
เวลานั้น ต้องบอกว่าสังคมไทยส่วนใหญ่เห็นใจครอบครัวนี้เป็นอันมาก และเอาใจช่วยให้ความจริงปรากฏในเร็ววัน แต่มันไม่ง่ายเลย ทำให้เรื่องราวข่าวสารที่ออกมาแต่ละวัน คนไทยลุ้นจนนั่งไม่ติด
กล่าวคือ นอกจากแปลกใจเช่นเดียวกับครอบครัวน้องเมยว่า เหตุใด นักเรียนเตรียมทหารในวัยที่มีพลังล้นเหลือ ถึงได้หัวใจวายได้ เพราะว่าจะมาร่ำเรียนในรั้วร.ร.แห่งนี้ ไม่ได้จับสลากเข้ามากันง่ายๆ หากแต่ต้องผ่านด่านการสอบอย่างสุดหิน ทั้งข้อเขียน การทดสอบทางร่างกายและจิตใจสารพัด!
ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวน้องเมยเลยต้องทั้งรับและรุก ไม่ยอมที่จะให้เรื่องจบไปเงียบๆ โดยไม่เกิดความกระจ่างในข้อเท็จจริงเด็ดขาด!!
ที่สุดถึงขั้นที่จะต้องเผาศพหลอก!! ก็ต้องทำ โดยเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2560 ทางครอบครัวได้จัดพิธีฌาปนกิจน้องเมยที่ วัดวิเวการาม ตำบลบางพระ จังหวัดชลบุรี แต่มิได้นำศพมาเผาจริง
คนไทยได้รับรู้ภายหลัง เมื่อพี่สาวออกมาชี้แจงว่า ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะต้องการที่นำศพน้องชายส่งผ่าพิสูจน์รอบ 2 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเกรงว่าจะมีบางสิ่งในร่างกายที่สถาบันแรกอาจตรวจไม่พบ
แน่นอนนาทีนี้ ไม่มีคำว่าไว้ใจใครทั้งนั้น!!
และที่สุด ผลที่ได้รับถึงกับทำให้คนไทยตกใจทั้งประเทศ เพราะในการผ่าพิสูจน์ครั้งนี้ นอกจากจะพบรอยช้ำที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดจากอะไรแล้ว ยังพบว่ามีการหักของซี่โครงซี่ที่ 4 ด้านขวา ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ทำ CPR หัวใจ และยังพบรอยช้ำที่มุมขวาด้านหน้า เช่นเดียวกับบริเวณแผ่นหลัง
ที่สุดพีค!!!!! คือ ยังพบว่าอวัยวะสำคัญหลายส่วนหายไป!!!!
แล้วก็เป็นอวัยวะที่สำคัญๆ ทั้งสิ้น นั่นคือ สมอง, หัวใจ, กระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ!!
และเรื่องนี้ ครอบครัวน้องเมยก็มิเคยได้รับการบอกกล่าวจากผู้ใหญ่คนไหนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย!!! โดยมีเพียงการระบุจากผู้อำนวยการกองการแพทย์ ร.ร.เตรียมทหาร ตั้งแต่เมื่อครั้งน้องเมยเสียชีวิต ว่า ขออนุญาตตัดชิ้นเนื้อบางส่วนเพื่อทำสไลด์หาสาเหตุการเสียชีวิตเท่านั้น
แต่กับการนำเอาอวัยวะสำคัยไปตามข้างต้น กลับเกิดขึ้นโดยปราศจาก การขออนุญาตทางครอบครัว, การแจงรายการอวัยวะที่แยกออกไปตรวจสอบ และการส่งร่างกายคืนครอบครัว โดยมิได้มีการแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ
ทั้งหมดนี้ ควรมีการดำเนินเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ครอบครัวน้องเมยบอกว่า ไม่เคยได้รับเอกสารใดๆ เลย!
หลังจากนั้น ทางครอบครัวจึงได้ทำเรื่องขอรับอวัยวะคืน จากทางผู้อำนวยการกองการแพทย์ ในวันที่ 8 พ.ย.2560
ที่สุด ไม่นานจากนั้น กองบัญชาการกองทัพไทย โฆษกพร้อมกับผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร แพทย์จากโรงเรียนเตรียมทหาร และแพทย์จากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ผู้ผ่าชันสูตรพลิกศพน้องเมย ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องราวนี้ว่า น้องเมยเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่ได้ถูกซ่อมหรือถูกทำโทษแต่อย่างใด
โดยผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหารเปิดเผยว่า ก่อนที่นายภคพงศ์ จะเสียชีวิต มีอาการเป็นลมจนถูกนำตัวส่งที่กองแพทย์ฯ จากนั้นหมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่ โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
แต่ด้วยเห็นว่า น้องเมยยังมีอายุน้อย ผู้บังคับบัญชาจึงสงสัยว่าเป็นการตายผิดธรรมชาติหรือไม่ ก่อนมีคำสั่งส่งตัวไปผ่าชันสูตรพลิกศพที่สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฏเกล้า
พ.อ.นพ.นรุฏฐ์ ทองสอน รองผอ.กองพยาธิศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฏเกล้า ผู้ผ่าชันสูตรพลิกศพ เปิดเผยว่า ร่างกายภายนอกไม่พบบาดแผล แต่เมื่อผ่าชันสูตร พบรอยซี่โครงหัก และรอยช้ำที่บริเวณหน้าอก แต่ร่องรอยทั้งหมดนี้ยังไม่น่าใช่สาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ และยังไม่ตัดประเด็นว่าเกิดจากการทำ CPR
จึงได้ตรวจพิสูจน์อวัยวะส่วนต่างๆ เพิ่ม เช่น สมอง หัวใจ กระเพาะ และกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งพบความผิดปกติที่เซลล์หัวใจ แพทย์จึงลงความเห็นว่าเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ส่วนอวัยวะที่หายไป ทางกองพยาธิศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฏเกล้า เปิดเผยว่า เป็นผู้เก็บไว้ เพราะอวัยวะบางส่วน เช่น สมอง และหัวใจ ต้องนำเข้าสู่กระบวนการทำให้แข็งก่อนจะนำไปสไลด์เป็นชิ้นเพื่อตรวจพิสูจน์ ซึ่งเป็นการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่สาเหตุที่ไม่ได้แจ้งญาติ เป็นเพราะตั้งแต่รับศพมาไม่มีโอกาสได้เจอญาติผู้เสียชีวิตเลย
ระหว่างนั้น เรื่องราวยังคงดำเนินตอ่ไป แต่ดูเหมือนว่าอะไรหลายๆ อย่างไม่เป็นใจให้ครอบครัวน้องเมยได้คำตอบที่ต้องการเลย แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนยังพูดผ่านสื่อว่า “น้องเมย” น่าจะมีร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการซ่อม หรือ ธำรงวินัย ก็เป็นเรื่องปกติที่ทหารทุกคนต้องโดนระหว่างฝึก
ที่สุด วันที่ 23 พ.ย.60 ครอบครัวของน้องเมย ได้เข้ารับอวัยวะทั้งหมดที่เหลืออยู่ ที่สถาบันพยาธิวิทยาศูนย์การแพทย์พระมงกุฎเกล้า
ผู้พ่อ แม้จะเศร้าใจเพียงใด โกรธเพียงใด ที่สุดพิเชษฐ์ ตัญกาญจน์ พ่อของผู้เสียชีวิต กล่าวว่าจะเดินหน้าส่งต่อให้กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายเป็นครั้งที่ 2 ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์รังสิต
แน่นอน เวลานั้น สังคมก็ตั้งคำถามไปทั่วว่า จะยืนยันได้อย่างไรว่าอวัยวะเหล่านั้นเป็นของน้องเมย!
และจากนั้น ข่าวคราวเหมือนจะหายเงียบไป แต่ฉากหลังคือเรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป ครอบครัวน้องเมยแม้จะเหนื่อยล้า แต่ก็จะเดินต่อไป จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม
และที่ทำไปก็ไม่ใช่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่เพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเลวร้ายที่คลุมเครือเช่นนี้กับใครอีกในอนาคต และไม่ต้องการให้ใครเอาชีวิตมาทิ้งอย่างไร้เหตุผลแบบน้องเมย ทั้งๆ ที่สถาบันแห่งนี้ คือความฝันทั้งชีวิตของเขา ถึงขนาดใช้เวลาถึง 3 ปี ในการฟันฝ่าเพื่อสอบเข้า สถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้
แต่อนิจจา เมื่อสอบเข้าไปได้แล้ว เพียง 5 เดือนต่อมาเท่านั้นเอง เขากลับต้องจบชีวิตลงภายในรั้วสถาบันที่เขารักนั่นเอง
ย้อนไปในวันก่อนที่น้องเมยจะจากไปตลอดกาล มารดาของน้องเมยระบุแก่สื่อตรงกันทุกสำนักว่า ตนนั้นทราบอยู่ก่อนแล้วว่าน้องเมยไม่สบาย รักษาตัวที่กองแพทย์ของโรงเรียน และแม่ได้มีการโทรคุยกับน้องเมย
หากคนไทยยังจำได้ มีคำพูดหนึ่งที่มารดาน้องเมยย้ำบ่อยๆ คือ ลูกชายพูดสิ่งที่ชวนสงสัยเป็นอันมากคือ คำว่า “อย่าเชื่อผู้พัน!!” ก่อนที่จะเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่กี่ชม.
และนำมาสู่การเดินหน้าหาความจริงตามที่เล่าไปข้างต้น
ที่สุด ระหว่างที่สังคมรอคอยผลการชันสูตรศพ และอวัยวะครั้งต่อมานี้ ปรากฏว่า ยังมีข้อมูลต่างๆ ถูกเปิดเผยออกมา เช่น ช่วงเดือน ส.ค.2560 น้องเมยเคยโดนรุ่นพี่ลงโทษ หรือ ธำรงค์วินัยมาแล้วจนหัวใจหยุดเต้น!!
โดยข้อมูลจากมารดาน้องเมยเล่าว่า รุ่นพี่เรียกน้องเมยเข้าห้องน้ำ แล้วทำโทษให้ทำท่าเอาหัวปักพื้น โดยเหตุที่โดนทำโทษเพราะน้องเมยไปใช้เส้นทางที่รุ่นพี่สั่งห้ามไว้ โดยไม่ได้เป็นข้อห้ามของ ร.ร.เลย
และหลังจากนั้น ยังมีการเข้ารักษาตัวแบบแปลกๆ ที่กองแพทย์ของทาง ร.ร.บ่อยๆ
แต่ทางฝ่ายกองทัพก็มีภาพวงจรปิดมาอธิบายว่า เหตุการณ์ก่อนที่น้องเมยจะเสียชิวิตนั้น เขามิได้มีการซ่อมน้องเมยเลยก็ตาม แต่ครอบครัวยังคงไม่สิ้นสงสัย
ที่สุดวันที่ 8 ธ.ค.2560 ผลการชันสูตรอวัยวะที่ส่งไปทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ออกมาแล้ว หากแต่ยังไม่มีการเปิดเผยออกสื่อ โดยเมี่ยงพี่สาวระบุผ่านสื่ออนไลน์ว่า
“เผยผลชันสูตรรอบ 2 ผลชี้ชัด น้องเมยมีรอยช้ำตามร่างกายจากการถูกทำร้าย ซี่โครงที่หักไม่ได้เกิดจากการทำ CPR แต่ผลการตรวจอวัยวะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จากนั้นกล่าวว่า การชันสูตรทั้งหมดนี้ จะใช้ดำเนินคดีในชั้นศาลกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้ว เรื่องราวทางกฎหมายยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าในทางข่าวสาร จะไม่ได้ไฮไลท์ข่าวของน้องเมยอีกเป็นธรรมชาติของสื่อสารมวลชน
โดยช่วงเดือน ก.พ.2561 ที่ผ่านมา ได้มีการสั่งฟ้องนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ จำนวน 1 คน ในข้อหาทำร้ายร่างกาย
แต่น่าเศร้าใจ ที่เวลาผ่านมาจนช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมานี้เอง คนไทยยังได้เห็นพาดหัวข่าวในลักษณะที่ว่าคดีน้องเมยไม่คืบ!!
ที่เจ็บปวดสุดๆ คือ 2 สถาบันแพทย์ ทั้งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุไม่สามารถตรวจสอบอวัยวะน้องเมยได้ เนื่องจากสารพันธุกรรมของเนื้อเยื่อได้ผ่านการดองน้ำยาฟอร์มาลีน มีการเสื่อมสลายมาก อวัยวะต่างๆ มีสารพันธุกรรมในปริมาณและคุณภาพที่ไม่เหมาะสมในการตรวจวิเคราะห์ต่อไป ทำให้ไม่สามารถระบุรูปแบบสารพันธุกรรม เพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นบุคคลใดได้
สุดท้ายมีการยืนยันผลสรุปที่ได้นำส่งพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2560 ถือว่าเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์แล้ว
น.ส.สุพิชา ยอมรับว่า ถ้าไม่สามารถตรวจยืนยันอวัยวะของน้องเมยได้ ก็มีผลต่อรูปคดีที่มีการฟ้องร้องเพราะไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุการเสียชีวิตได้ ส่วน พ่อยังยืนยันว่า อวัยวะที่ตรวจพิสูจน์นั้นไม่ใช่ของน้องเมย
******
วันนี้ครบครอบ 1 ปีแล้ว เหมือนว่าคนไทยจะรู้แล้วว่า ที่สุดแล้ว คดีนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แม้ว่าลึกๆ แล้วเราทุกคนยังเชื่อว่าความยุติธรรมมีอยู่จริง เช่นเดียวกับครอบครัว น้องเมย
ขอให้น้องเมยหลับให้สบาย ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร น้องเมยคงรับรู้แล้วว่า ครอบครัวของน้อง ยืนหยัดและสู้จนแทบจะยืนไม่ไหว ก็ยังสู้อยู่ และพวกเขาจะมีน้องเมยอยู่ในใจตลอดชั่วกาล!
//////////
ขอบคุณภาพจากเฟซบุค Sukanya Tanyakan