วันนี้ในอดีต

2 พ.ค.2497การชกชิงแชมป์โลกครั้งแรก ที่ท่านผู้นำ "หัวร้อน"

2 พ.ค.2497การชกชิงแชมป์โลกครั้งแรก ที่ท่านผู้นำ "หัวร้อน"

02 พ.ค. 2561

คิดแทนใจนักมวย เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว เตรียมตัวมาเจ็บกันแล้ว จะกลัวทำไมกะเรื่องแค่แค่นี้!

                ช่วงนี้ของบ้านเมืองเรา ยังคงมีฝนจากกระแสมรสุม มาให้คลายร้อน

                แต่วันนี้ของเมื่อ 64 ปีก่อน คนไทยกลับร้อนรุ่มท่ามกลางสายฝน ไม่เว้นแต่ท่านผู้นำอย่าง พ.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขณะนั้น

          

2 พ.ค.2497การชกชิงแชมป์โลกครั้งแรก ที่ท่านผู้นำ \"หัวร้อน\"

   พ.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์

 เพราะวันนั้น เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญระดับชาติและเป็นประวัติการณ์ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การกีฬาของชาติ โดยเฉพาะวงการมวยสากลอาชีพของไทย

              ที่มีนักมวยไทยคนแรกได้ขึ้นชกชิงตำแหน่งแชมเปี้ยนโลก นั่นคือการชกระหว่าง "จำเริญ ทรงกิตรัตน์" นักมวยไทย ในฐานะผู้ท้าชิง กับ  "จิมมี่ คารัทเธอร์" แชมเปี้ยนโลก มวยสากลรุ่นแบนตัมเวธของสมาคมมวยนานาชาติ (สมาคมมวยโลกปัจจุบัน) ชาวออสเตรเลีย ที่สนามกีฬาจารุเสถียร

                ที่จริง โดยทั่วไปแล้ว การได้เป็นเจ้าบ้าน มักมีความได้เปรียบในหลายทาง ทั้งการคุ้นเคยกับสนามและสถานที่ การได้รับแรงเชียร์กำลังใจจากคนดูสายเลือดเดียวกันเต็มๆ

                แต่ แต่ แต่ การชกในวันนั้น ฟ้าฝนไม่เพียงไม่เป็นใจ เทกระหน่ำลงมาไม่ลืมหูลืมตาแล้ว ผลการชกยังไม่เป็นที่พอใจของคนไทยอีกด้วย โดยฝ่ายนักชกของเรา หรือเจ้าของฉายา จิ้งเหลนไฟ ต้องมาพ่ายแพ้คะแนนนักชกจากแดนจิงโจ้ ไปแบบคนไทยอ้าปากค้าง!!

                ข้อมูลทั่วไปเล่าว่าการชกครั้งนี้ ซึ่งจัดที่สนามกีฬาจารุเสถียร (บางข้อมูลระบุว่าเป็นสนามศุภชลาศัย) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นสนามกีฬากลางแจ้ง

 

2 พ.ค.2497การชกชิงแชมป์โลกครั้งแรก ที่ท่านผู้นำ \"หัวร้อน\"

 

                ปรากฏว่าเย็นนั้น เกิดฟ้ามืดทมึนด้วยเมฆฝน สภาพในสนามก่อนแข่งขัน ใกล้ค่ำ  ซึ่งตั้งเวทีไว้กลางแจ้งกลางสนาม ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชมแน่นสนาม แล้ว จู่ๆ พระพิรุณก็เทฝนลงมาห่าใหญ่ ก่อให้เกิดเป็นน้ำขังบนเวที

           ที่จริงตอนแรก กรรมการและสักขีพยาน ก็ช่วยการเสนอให้เลื่อนการชกออกไปก่อน แต่ไม่รู้ทำไม ก็เป็นฝ่ายนักชกเองแหละที่ตกลงกันว่า จะทำการชกต่อไปตามแผนเดิม

               คิดแทนใจก็คงประมาณว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว เตรียมตัวมาเจ็บกันแล้ว จะกลัวทำไมกะแค่น้ำบนเวที แม้แต่คนดูก็ถึงขนาดเปียกปอนไปตามๆ กัน บางคนก็เอาผ้าพลาสติคคลุมตัวไว้

                โดยว่ากันว่า มีบันทึกสถิติ จากเมืองฝรั่งใน www.boxrec.com แจ้งว่า วันนั้นมียอดผู้ชมสูงถึง 69,819 คน และแม้จะมีเหตุการณ์ฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ผู้ชมก็ไม่หนี โดยพยายามที่จะสวมเสื้อกันฝน และกางร่มจนกลายเป็นดอกเห็ดหลากสี บานสะพรั่งไปทั่วอาณาบริเวณสนามแข่งขันกลางแจ้งแห่งนั้น!!

                แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ฝ่ายของ จิมมี่ คาร์รัทเธอร์ เสนอให้ถอดรองเท้าชกด้วยเท้าเปล่า แล้วฝ่ายไทยก็เอาด้วย ปรากฏว่าทั้งคู่ชกโดยไม่สวมการชก โดยครั้งนั้น ได้รับการบันทึกว่า เป็นการชกชิงแชมป์โลกมวยสากลในยุคใหม่ ครั้งแรกและครั้งเดียว ที่นักชกชกด้วยเท้าเปล่า โดยไม่สวมรองเท้า อย่างกับว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                 แต่แล้ว มันก็มีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ แถมยังทำให้เรื่องราวกลับตาลปัตรมาเป็นความพ่ายแพ้ของนักชกฝ่ายไทย เพราะระหว่างที่หวดหมัดกันบนเวที ทั้งเท้าเปล่าและท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาไม่ยอมหยุดอยู่เป็นเวลานับชั่วโมง

                พอถึงยกที่ 12 อยู่ๆ ไฟนีออนเจ้ากรรม ไม่ยอมทำหน้าที่ให้แสงสว่างบนเวทีต่อไป เพราะไปโดนพระพายพัดจนร่วงตกลงมาแตกบนพื้นเวทีนั้นเอง แถมและเศษแก้วยังพาลไปบาดเท้าของนักมวยอีกด้วย!!

                 วงแตกทันที ไม่สามารถชกต่อได้ ต้องตัดสินกันด้วยการนับคะแนน ซึ่งอย่างที่บอกไปแล้วว่า ผลการนับคะแนนปรากฏว่าจำเริญ ทรงกิตรัตน์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างคาใจคนไทย!

 

2 พ.ค.2497การชกชิงแชมป์โลกครั้งแรก ที่ท่านผู้นำ \"หัวร้อน\"

ขอบคุณภาพจาก http://www.fapot.org/th/news_detail.php?id=377#.WuiTj9KWbZ4

                นั่นเพราะทุกคนลงความเห็นว่า ช่วงท้ายของการชก จำเริญเป็นฝ่ายชกคาร์รัทเธอร์บอบช้ำ น่วมปวกเปียกอยู่หลายครั้ง แม้แต่ท่านผู้นำอย่าง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งเป็นประธานในการชก และนั่งส่องกล้องดูการชกอยู่ตั้งแต่ต้น ถึงกับอุทานว่า

"มันตัดสินยังไงของมันวะ!!!"

                นี่แหละอาการ “หัวร้อน...” เพราะนักชกไทยรายนี้ต้องเรียกว่าเป็นความหวังเหรียญทองของนายตำรวจนักการเมืองใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้

                โดยหลังจากที่ชกมวยไทยมาอย่างโชกโชน จำเริญ หรือชื่อจริง สำเริง ศรีมาดี จึงหันมาชกมวยสากลอย่างจริงจัง ได้ชิงแชมป์ OPBF รุ่นเฟเธอร์เวท แต่ไม่สำเร็จ แพ้คะแนน ลาร์รี่ บาตาน ที่ฟิลิปปินส์แบบสูสี

                กระทั่งมาได้รับการสนับสนุนจากกรมตำรวจ โดยเฉพาะในยุคของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้!

                ที่สุดจำเริญได้ขึ้นชิงแชมป์ OPBF รุ่นไลท์เวท ปรากฏว่าหนนั้น จำเริญสร้างประวัติศาสตร์ครองแชมป์ OPBF เป็นคนแรกของไทย ชนะคะแนน สปีดี้ คาบาเนลลา เมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2495

 

2 พ.ค.2497การชกชิงแชมป์โลกครั้งแรก ที่ท่านผู้นำ \"หัวร้อน\"

 

                ต่อมาจำเริญป้องกันแชมป์ OPBF ครั้งเดียวแล้วจึงสละตำแหน่ง ลดลงมาชกรุ่นแบนตัมเวท จนได้ชิงแชมป์โลกกับจิมมี่ คาร์รัทเธอร์ (ออสเตรเลีย) หนนี้แหละ แต่เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปท่ามกลางสายฝน หยดเลือดที่เท้า และอาจเป็นน้ำตาของผู้แพ้ก็ได้ เพราะการชกครั้งนี้ ได้รับการวิจารณ์ไปทั่วว่า หากการชกไปตามกติกาเดิม คือ 15 ยก จำเริญน่าจะเป็นฝ่ายชนะน็อกคารัทเธอร์!

                และก็ไม่รู้ทำไม หลังจากนั้น แม้ว่าเขาจะมีโอกาสทำหน้าที่ในฐานะแชมป์ แต่จำเริญก็ไม่เคยทำผลงานได้เลยจนกระทังแขวนนวม

                 กล่าวคือ ต่อมา คาร์รัทเธอหลังชกกับจำเริญแล้ว เขาก็สละตำแหน่งไป จำเริญจึงได้ชิงแชมป์โลกอีกครั้งภายในปีเดียวกัน แต่ไม่สำเร็จ โดยชกชิงแชมป์ครั้งนี้กับ โรแบร์ โคฮัง นักชกชาวฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2497 ที่สนามศุภชลาศัย จำเริญชกได้ไม่ดี ถูกนับสองครั้ง และแพ้คะแนนนักชกจากฝรั่งเศสไป

                มีเกร็ดเล่าขำๆ ว่า การชกรอบนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ว่าอาจมีฝน ผู้คนพากันหอบเอาเสื้อกันฝน ร่ม และอุปกรณ์ป้องกันมาเพียบ แต่ฝนกลับไม่ตก!!

                อย่างไรก็ดี แต่แล้วต่อมาฝ่ายโคฮัง เกิดปฏิเสธไม่ยอมป้องกันแชมป์กับ ราอูล มาเซียส (เม็กซิโก) NBA (WBA ปัจจุบัน) จึงให้มาเซียสชิงแชมป์ว่าง กับ จำเริญแทน โดยไปชกกันที่สหรัฐอเมริกา จำเริญจึงได้ชิงแชมป์โลกครั้งที่ 3 เมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2498 ไม่สำเร็จอีกเช่นเคย แพ้น็อค มาเซียส ยก11 จำเริญจึงแขวนนวมไปหลังจากชกแพ้ครั้งนี้

                เมื่อแขวนนวมแล้ว จำเริญรับราชการตำรวจอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาเกิดความผันผวนทางการเมือง จนต้องลาออกจากตำรวจ ไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศส กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง แล้วจึงไปทำธุรกิจส่วนตัวที่เชียงใหม่ จนป่วยเป็นอัมพฤกษ์จึงกลับมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เสียชีวิตเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2546 รวมอายุได้ 77 ปี

              ขอรำลึกถึงยอดนักชกขวัญใจชาวไทย  จำเริญ ทรงกิตรัตน์ มา ณที่นี้

/////////////////////////

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

และ http:// http://www.fapot.org/th/news_detail.php?id=377#.WuiTj9KWbZ4