วันนี้ในอดีต

19 เม.ย. 2499  หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น  หนึ่งความฝันกลับกลาย

19 เม.ย. 2499 หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น หนึ่งความฝันกลับกลาย

19 เม.ย. 2561

ชีวิตที่น่าจะสุขสันต์ทุกค่ำเช้าของการใช้ชีวิตเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ แต่กลับกลายเป็นว่า เธอได้ค้นพบบางอย่างที่เธอรักมากที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้!

         ถ้าใครติดตามเรื่องราวชีวิตของเจ้าหญิงเกรซ แห่งโมนาโก จะรู้ดีว่า ชีวิตดั่งฝันแต่ลงท้ายกลายกลับ คืออะไร

         มุมหนึ่งที่สาวๆ ทั่วโลกอิจฉาเธอ คือ การที่เธอมีชีวิตดั่งความฝันที่สาวๆ แทบทุกคนล้วนใฝ่ฝันว่าจะเจอเจ้าชายรูปงามมาหลงรักทั้งสิ้น

 

19 เม.ย. 2499  หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น  หนึ่งความฝันกลับกลาย

 

         ใช่แล้ว เกรซ เคลลี่ ได้มีสิ่งนั้น เพราะเธอได้พบรักกับเจ้าชายรูปงาม แม้จะต่างชนชั้นแต่หัวใจของทั้งสองก็ผูกพันกันลึกซึ้ง จนถึงขั้นครองรักครองเรือน

         และวันนี้ของเมื่อ 62 ปีก่อน หรือตรงกับวันที่ 19 เม.. 2499 คืออีกหนึ่งวันที่ผู้คนทั่วโลกได้เห็นพระราชพิธีสมรสอันงดงามหรูหราอลังการ ไม่แพ้พระราชพิธีสมรสของราชวงศ์ใดๆ ในโลกนี้

         ราวกับจะประกาศถึงความล้นปรี่ของความรักที่ เจ้าชายเรนิเยที่ 3 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก มอบให้แด่เธอ ดาวประดับฟ้าแห่งวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด

         หลายคนอาจอยากรู้ว่า ทั้งคู่พบกันได้อย่างไร กระทั่งได้รู้ว่า เกรซ เคลลี่ มีเวลาศึกษาดูใจเจ้าชายเรนิเยเพียงปีเดียวเท่านั้น แน่นอนนี่ มิอาจพิสูจน์ว่าทั้งคู่จะมิได้รักกันจริง

         หากแต่พิสูจน์เรื่องอื่น ซึ่งหมายถึง ชีวิตที่น่าจะสุขสันต์ทุกค่ำเช้าของการใช้ชีวิตเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ แต่กลับกลายเป็นว่า เธอได้ค้นพบบางอย่างที่เธอรักมากที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้!

         ก่อนจะไปตรงนั้น มาดูเส้นทางความรักของทั้งคู่กันก่อน

         ในช่วงเวลาลมร้อนแห่งคิมหันต์ฤดู เดือนเมษายน พ.. 2498 เกรซ เคลลี ขณะเป็นดาราผู้โด่งดังแห่งฮอลลีวู้ด ได้รับการขอร้องให้เป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ใน        เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์

         ขณะที่อยู่ที่นั่น เธอได้รับเชิญไปร่วมงานถ่ายภาพ ในวังโมนาโกกับเจ้าชายเรนีเยร์ เจ้าผู้ครองประเทศโมนาโก ซึ่งหลังจากผัดผ่อนหลายครั้งจากความไม่สะดวกหลายอย่าง ในที่สุดราวกับมีลิขิต เกรซตัดสินไปเดินทางไปถึงโมนาโก ที่ซึ่งทำให้เกรซได้พบกับเจ้าชาย

         ซึ่งแน่นอนด้วยใบหน้างดงามราวสลัก และบุคลิกท่วงท่าเยือกเย็น สง่างาม ใครได้เห็นก็ต้องหลงรักเธอ รวมถึงเจ้าชายด้วย

 

19 เม.ย. 2499  หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น  หนึ่งความฝันกลับกลาย

 

         เพราะหลังเกรซจากกลับสหรัฐฯ และกำลังแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่เรื่อง The Swan ในช่วงปี 2499 นั้นเอง โดยสวมบทบาทเป็นเจ้าหญิง ไม่นานจากนั้นเจ้าชายเรนีเยก็เริ่มผูกสัมพันธ์ โดยติดต่อกับเธอเป็นการส่วนตัว

         กระทั่งเดือนธันวาคมปีนั้น เจ้าชายก็ได้เสด็จมาอเมริกาอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีการโจษจันว่าเสด็จเพื่อแสวงหาพระชายา เนื่องจากสนธิสัญญากับฝรั่งเศสซึ่งทำไว้เมื่อ พ.. 2461 บ่งไว้ว่า เมื่อใดที่เจ้าชายแห่งโมนาโกไม่มีรัชทายาท โมนาโกจะต้องรวมกับฝรั่งเศส

         เจ้าชายได้ถูกถามในการให้สัมภาษณ์ว่าพระองค์กำลังแสวงหาพระชายาใช่หรือไม่ ซึ่งพระองค์ทรงตอบปฏิเสธ และในคำถามถัดมาถามว่าสมมุติว่าใช่ พระองค์จะโปรดพระชายาแบบไหน? พระองค์ทรงพระสรวลแล้วตอบว่า “ไม่ทราบ... แต่คงจะดีที่สุดกระมัง” เจ้าชายได้ทรงพบเกรซ เคลลีกับครอบครัวของเธอ และในอีกเพียง 3 วันต่อมาเจ้าชายเรนีเยก็ขอแต่งงานกับเกรซ ซึ่งเธอตอบรับ จากนั้นพระองค์และครอบครัวของเกรซก็ได้เตรียมการแต่งงานที่โด่งดังที่สุดแห่งศตวรรษ

       

         สื่อต่างๆ พากันตีข่าวถึงการเตรียมพระราชพิธีมงคลสมรส ที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน มีการทาสีพระราชวัง ตบแต่งใหม่ทั้งหมด รวมทั้งพิธีการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสู่โมนาโก ในวันที่ 4 เมษายน พ.. 2499

         โดยว่าที่เจ้าสาว วัย 27 ได้ลงเรือที่ท่าในนครนิวยอร์กพร้อมกับเพื่อนเจ้าสาวและครอบครัวของเธอ สุนัขพูเดิลและสัมภาระ 400 ชิ้นออกจากท่าสู่ริเวียรา มีนักข่าวมากกว่า 400 คนขอร่วมเดินทางไปด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธเกือบทั้งหมด

         การเดินทางเพื่อสู่อ้อมกอดแห่งโมนาโกใช้เวลาเดินทาง 8 วัน มีผู้คอยต้อนรับเรือนหมื่นเรียงรายโห่ร้องต้อนรับเจ้าหญิงในอนาคตตามท้องถนน

         พระราชพิธีสมรสได้รับการถ่ายทอดไปทั่วยุโรป และยังมีเกร็ดเล่ากันว่า เกรซต้องจดจำชื่อตำแหน่งทางการให้ได้มากถึง 142 ชื่อ เพราะในงานพระราชพิธีมีแขกผู้มีเกียรติและชนชั้นสูงได้รับเชิญจากประเทศต่างๆ มาจากทั่วโลก ว่ากันว่ามากถึง 600 คน!!

 

19 เม.ย. 2499  หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น  หนึ่งความฝันกลับกลาย

ภาพจาก : Getty / Bettmann

         กระทั่งเมื่องานเลี้ยงจบลง เจ้าชายเรนีเยและเจ้าหญิงเกรซพระชายา ก็ได้ลงเรือยอชต์ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ท่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกเป็นเวลาถึง 7 วันในคืนวันนั้นเอง

         กระทั่งมีพระราชธิดาด้วยกัน ในช่วงเวลาเพียง 9 เดือนหลังพิธีมงคลสมรส เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกหลังจากนั้น อีก 9 เดือนกับ 4 วัน ก็ตามมาด้วยพระราชโอรส

         รวมแล้ว เจ้าชายเรนีเยและเจ้าหญิงเกรซมีพระโอรสและพระธิดา 3 พระองค์ดังนี้

         เจ้าฟ้าหญิงกาโรลีนแห่งฮาโนเวอร์ ประสูติวันที่ 23 มกราคม พ.. 2500 เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ประสูติ 14 มีนาคม พ.. 2501 เจ้าหญิงสเตฟานี มารี เอลิซาเบทแห่งโมนาโก ประสูติ 1 กุมภาพันธ์ พ.. 2508

         อย่างไรก็ดี ขณะที่เราเห็นถึงความสุขสมหวังท่ามกลางความรักและทรัพย์สฤงคาร แต่เกรซ เคลลี่ ก็ได้กลายเป็นเจ้าเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโกโดยไม่ได้หวนกลับสู่วงการจอเงินอีก ซึ่งุทกคนรู้ดีว่าเธอรักในอาชีพนักแสดงยิ่งชีวิต!

         แม้ในปี พ.. 2505 อัลเฟรด ฮิตช์ค็อกผู้กำกับชื่อดัง ได้ทูลชวนพระองค์ให้มาแสดงภาพยนตร์อีก ซึ่งทุกคนรู้ดีว่า พระองค์อยากจะลอง แต่ไม่มีผู้ใดเห็นด้วย รวมทั้งเจ้าชายเรนีเย เจ้าหญิงจึงจำต้องตอบปฏิเสธ!!

         และทำหน้าที่ของเจ้าหญิงแห่งโมนาโกต่อไป เช่น พระองค์ได้มีบทบาทในการยกระดับสถาบันศิลปะของโมนาโก มีการจัดตั้งมูลนิธิเจ้าหญิงเกรซขึ้นเพื่ออุปถัมภ์ศิลปินของประเทศ และยังเป็นบุคคลชั้นสูงคนแรกที่สนับสนุนการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา

         ทรงจัดงานคริสต์มาสประจำปีสำหรับเด็กกำพร้าและทรงจัดตั้งสโมสรสวนดอกไม้ขึ้นเนื่องจากที่พระองค์โปรดปรานดอกไม้มาก

         มีเพียงครั้งเดียวที่ เจ้าหญิงเกรซ ได้ทำในสิ่งรัก อย่างการเป็นศิลปิน แต่ทำได้เพียงในรูปแบบพิเศษโดยการอ่านบทกลอนในภาพยนตร์ชุดสารคดีเมื่อ พ.. 2520

         ขณะที่ชีวิตหลังจากนั้น ก็ดูมีความสุขดีตามที่ควรจะเป็น แต่แล้ว ในวันที่ 14 กันยายน พ.. 2525 ด้วยพระชนมายุ 52 พรรษา เจ้าหญิงเกรซและเจ้าหญิงสเตฟานีพระราชธิดาได้ขับรถมุ่งสู่โมนาโกจากที่ประทับในชนบท พระองค์ประชวรกะทันหันด้วยโรคเส้นโลหิตแตกในสมอง ทำให้รถโรเวอร์ที่ทรงขับอยู่พลิกคว่ำตกจากไหล่เนินที่สูงหลายตลบ

19 เม.ย. 2499  หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น  หนึ่งความฝันกลับกลาย

         ข่าวร้ายตามมาอีกในวันรุ่งขึ้น เมื่อที่สุดแล้ว พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ในวันรุ่งขึ้น มีการโจษจันกันว่าจุดเกิดเหตุเป็นถนนช่วงโค้งที่เดียวกันกับที่ใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ แต่ทางการโมนาโกปฏิเสธ ส่วนเจ้าหญิงสเตฟานีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

         หลังการสวรรคต กระแสข่าวระบุว่า ชีวิตในราชวงศ์เริ่มเปลี่ยนไป สิ่งที่ทุกคนเป็นห่วงคือพระพลานามัยของเจ้าชายเรนิเย นับตั้งแต่การจากไปของเจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ และยังมีเรื่องของความประพฤติของพระราชธิดาและพระราชโอรส

         ที่สุด เจ้าชายเรนิเย ทรงรับเข้าการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2548 หลังจากทรงพระประชวรจากพระอาการของพระปัปผาสะติดเชื้อ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม กระทั่งอาการทรุดลง

         และแล้ว เมื่อวันที่ 1 เมษายน สำนักพระราชวังโมนาโกได้แถลงว่า เจ้าชายอัลแบร์ผู้จะทรงขึ้นสำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้สวรรคตแล้วเมื่อเวลา 04.35 . ด้วยพระชนพรรษา 81 พรรษา

         ซึ่งในที่สุด ทั้งเจ้าหญิงเกรซ และเจ้าชายจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เพราะทั้งสองพระองค์ได้รับการฝังไว้ในโบสถ์เซนต์นิโคลาส ประเทศโมนาโก คู่กัน โดยในปีนั้นเอง (2548) พระศพของเจ้าชายเรนีเย ได้ถูกนำมาฝังไว้เคียงของเจ้าหญิงเกรซ ที่เสด็จสวรรคตในปี พ.. 2525

         อย่างไรก็ดี ในด้านหนึ่ง แม้เรื่องราวนี้ จะทิ้งคำถามสำหรับคนอีกหลายคนว่า ทำไมสตรีที่ชีวิตงดงามราวเทพนิยายถึงต้องพบจุดจบเช่นนี้

         หากแต่มองอีกด้านหนึ่ง ชีวิตของเกรซ เคลลี่ หรือเจ้าหญิงเกรซ แห่งโมนาโก ก็ล้วนแล้วแต่รายล้อมไปด้วยความสุข ความรัก และความสำเร็จ!!

         เธอเกิดที่ย่านอีสฟอลล์ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 4 คนของนายแจ็คและนางมากาเร็ต เคลลี เป็นครอบครัวชาวอเมริกันคาทอลิก ที่อพยพมาจากสาธารณรัฐไอร์แลนด์

 

19 เม.ย. 2499  หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น  หนึ่งความฝันกลับกลาย

         แจ็คผู้เป็นบิดาเคยเป็นวีรบุรุษของชาวอเมริกันมาแล้วจากการได้เหรียญทองโอลิมปิกมากถึง 3 เหรียญในแข่งขันเรือกรรเชียงคู่ กระทั่งมาทำธุรกิจการค้าอิฐที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ จนประสบความสำเร็จในระดับมหาเศรษฐีคนหนึ่ง

         และรวมไปถึงคนอื่นๆ ในครอบครัวที่ล้วนแล้วแต่บุคคลคุณภาพ แถวหน้าของประเทศ

         โดยนอกจากบิดาจะเคยลงสมัครรับการเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี ในนามของพรรคเดโมแครต ซึ่งแม้จะแพ้เลือกตั้ง แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งจาก ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ให้เป็นประธานกรรมการพลศึกษาแห่งชาติ

         ส่วน มากาเร็ต มารดาของเกรซมีเชื้อสายเยอรมันที่เข้ารีตเป็นคาทอลิก เธอเองก็เก่งด้านกีฬา จบสาขาพลศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทมเพิลซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้าภาควิชาพลศึกษาคนแรกของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

         ขณะที่ จอห์น บี เคลลี จูเนียร์พี่ชายของเกรซ ก็เป็นนักกีฬาที่ชนะเลิศรางวัล “เจมส์ อี ซุลลิแวน” ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดสำหรับกีฬาสมัครเล่นของสหรัฐฯ และยังได้รางวัลเหรียญทองแดงโอลิมปิกฤดูร้อนจากการแข่งขันเรือกรรเชียง และได้มอบเหรียญนี้เป็นของขวัญแต่งงานของน้องสาว

         ส่วนเกรซเอง ด้วยความงามขนาดนี้ แน่นอนเธอจึงได้เป็นนางแบบเดินแฟชั่นต่างๆ และได้มีการแสดงครั้งแรกเพียงอายุ 12 ปี เป็นละครเรื่องหนึ่ง

         กระทั่งอยู่ ม.ปลาย เกรซได้แสดงทั้งละครและระบำ น่าแปลกใจที่ในหนังสือรุ่น เพื่อนๆ เธอเขียนทำนายไว้ว่าเธอจะได้เป็น “ดาราที่มีชื่อเสียงทั้งในจอเงินและทางวิทยุ”

         และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย เกรซตัดสินใจมุ่งสู่อาชีพการแสดง และได้เข้าศึกษาใน สถาบันศิลปะการแสดงอเมริกันในนิวยอร์ก ต่อมาเธอได้เริ่มงานแสดงละครบรอดเวย์เป็นครั้งปฐมฤกษ์

         จนเมื่ออายุ 19 ปี เกรซจบการศึกษา ด้วยการแสดงละครเรื่อง “เดอะฟิลาเดลเฟียสตอรี” ซึ่งก็น่าแปลกอีกเพราะเป็นเรื่องเดียวกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิตการแสดงภาพยนตร์ของเธอ

 

19 เม.ย. 2499  หนึ่งตำนานรักต่างชนชั้น  หนึ่งความฝันกลับกลาย

         สำหรับผลงานของเธอโดยย่อมีดังนี้ ปี 2494 แสดงประกอบในภาพยนตร์เรื่อง 14 ชั่วโมง”

         ต่อมาประสบความสำเร็จในเรื่อง “ไฮนูน” โดยได้รับรางวัลออสการ์ ถึง 2 รางวัล

         ปี 2496 เป็นตัวประกอบ ในภาพยนตร์ “โมแกมโบ” ที่ถ่ายทำในป่าประเทศเคนยา เรื่องนี้เกรซได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้ง เท่ากับว่าส่งให้เกรซขึ้นชั้นในระดับดาราแถวหน้า!

         ที่สุดบทดารานำก็ตกเป็นของเธอ เมื่อผู้กำกับชื่อดังคือ อัลเฟรด ฮิชค็อก ได้ให้เกรซสวมบทบาทนางเอกในภาพยนตร์ประเภทลึกลับตื่นเต้นหลายเรื่อง

         เช่น “เรียร์ วินโดว์” ปังทะลุ จนเกรซเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก กระทั่งปี พ.. 2498 เกรซ ก็ได้รับรางวัลอะแคเดมีในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยมในเรื่อง “เด็กบ้านนอก” (The Country Girl)

         ส่วนเรื่องสุดท้ายที่เกรซนำแสดง ได้แก่ เรื่อง “สังคมชั้นสูง” (High Society –.. 2499) ภาพยนตร์เพลงที่ดัดแปลงจากเรื่อง “เดอะฟิลาเดลเฟียสตอรี” ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับเรื่องที่เกรซใช้แสดงเพื่อจบการศึกษาดังกล่าวในตอนต้นนั่นเอง

         แม้ชีวิตการเป็นนักแสดงภาพยนตร์ของเกรซ เคลลีจะมีช่วงเวลาเพียง 5 ปี และแสดงไปเพียง 11 เรื่อง ความสวยและเสน่ห์ของเกรซได้ประทับลงไปในความทรงจำของคนอมเริกันและนักชมภาพยนตร์ในยุคนั้นอย่างไม่มีวันลืมเลือน

         รวมถึงเจ้าชายรูปงาม นามว่าเรนิเยร์ด้วย!!

 

/////////////

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

https://en.wikipedia.org/wiki/Grace_Kelly

และภาพจาก  Getty / Bettmann