วันนี้ในอดีต

ทหารวิสามัญ“ชัยภูมิ ป่าแส”นักกิจกรรมชาวลาหู่ ดับ!!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ชาวบ้านไม่เห็นว่ามีการต่อสู้กัน แต่เห็นว่ามีการลากคนออกจากรถมาซ้อม แล้วยิงขู่สองนัด พอหลุดไปก็วิ่งหนี ทหารก็ไล่ยิงวิสามัญฆาตรกรรมอัมพรางยังคลุมเคลือจนถึงวันนี้

 

          “ชาวบ้านเห็นเยอะแยะ อยู่ในรถลากเขาออกมาซ้อม เหยียบหน้าเขาไว้ แล้วยิงขู่สองนัด พอหลุดจากที่ทหารซ้อม พอหลุดไป ก็วิ่งหนี พอวิ่งหนี ทหารก็ไล่ยิง แล้วไม่ให้ชาวบ้านเข้าใกล้ด้วย” พยานแวดล้อมรายหนึ่งให้ข้อมูลไทยพีบีเอส

           ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่า ในวันดังกล่าวได้เรียกตรวจค้นรถ Honda Jazz สีดำ ป้ายทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในกรองอากาศของรถคันดังกล่าว พร้อมอ้างด้วยว่าผู้ตายพยายามขัดขืนการจับกุม โดยหยิบมีดจากหลังรถพยายามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ และวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตามไปพบว่า ผู้ตายกำลังจะปาระเบิดชนิดขว้างสังหารใส่ จึงได้ทำการวิสามัญโดยยิงเข้าที่ตัวผู้ตาย 1 นัด    

          พ.ต.อ.ชลเทพ ใหม่ไชย ผู้กำกับการ สภ.นาหวาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสว่าผู้ตายก่อนเสียชีวิตได้โทรศัพท์กับผู้ใด การเงินการทองในบัญชีได้รับโอนมาจากที่ไหน มีขบวนการไหนมาหลอกใช้ไหม เด็กที่ว่าเป็นเด็กดีทำไมมียาอยู่ในรถ ส่วนผู้ยิงที่เป็นเจ้าหน้าที่ เราเรียกมาสอบปากคำ ว่ามีเหตุผลอะไรต้องยิง เขาบอกว่าเป็นการยิงป้องกันตัว ถ้าเขาไม่ยิงจะถูกระเบิด อันนี้เป็นคำให้การของเขา ตำรวจก็จะหาพยานแวดล้อมมาสอบ ว่าน้ำหนักที่ให้การเชื่อถือได้ขนาดไหน

         วันนี้ในอดีตเกิดเหตุการณ์วิสามัญฆาตรกรรมขึ้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ที่บริเวณด่านตรวจบ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ทหารจาก ร้อย.ม.2.บก.ควบคุมพื้นที่ 1 ฉก.ม.5 ร่วมกับ ชสท.ที่ 5 กกล.ผาเมือง ได้กระทำการวิสามัญ “ชัยภูมิ ป่าแส” นักกิจกรรมชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นคนนั่งด้านข้างคนขับ

    ​     ท่ามกลางความคลุมเครือที่ปกคลุมสถานการณ์นี้ “พงศนัย แสงตะหล้า” คนขับรถเพื่อนร่วมทางของ “ชัยภูมิ  ป่าแส”เพียงคนเดียวที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐในวันเกิดเหตุ  น่าจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความจริงที่เกิดขึ้น ณ ที่เกิดเหตุ แต่ “พงศนัย” ต้องคดียาเสพติด ทางเจ้าหน้าตำรวจกำลังสอบปากคำ่ โดยศาลได้เรียกหลักทรัพย์ประกันตัวแก่พงศนัยเป็นจำนวน 2 ล้านบาท แต่ญาติของเขาไม่มีเงิน เขาถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาค้ายาเสพติด และได้ขออำนาจศาลฝากขังที่เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่

 

 

ทหารวิสามัญ“ชัยภูมิ ป่าแส”นักกิจกรรมชาวลาหู่ ดับ!!

         ปัญหาสิทธิยชนของชนเผ่า  ที่อาศัยบริเวณชายแดนไทย กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ของชาวโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อ“นายชัยภูมิ ป่าแส” หรือ “จ๊ะอุ๊” อายุ 17 ปี นักกิจกรรมชาวลาหู่ ตัวแทนเครือข่ายเยาวชนต้นกล้า จ.เชียงราย ถูกวิสามัญ โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าขณะตั้งด่านบริเวณบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พบนายชัยภูมิมีพฤติกรรมคล้ายคนซุกยาบ้า และมีทีท่าต่อสู้โดยการใช้มีดและระเบิดหมายจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ สุดท้ายถูกปืนเอ็ม 16 ของทหารยิงเข้า 1 นัด จนเสียชีวิต

          ข่าวการเสียชีวิตของ “ชัยภูมิ ป่าแส”กระหึ่มโลกโชเชียล ชาวเน็ตแห่ติด#RIPชัยภูมิ พร้อมตั้งข้อสงสัยว่านายชัยภูมิมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงหรือ เนื่องจากนายชัยภูมิเป็นส่วนหนึ่งของนักกิจกรรมกลุ่มรักลาหู่ กิจกรรมที่เน้นส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและต่อต้านยาเสพติด ซึ่งสิ่งที่นายชัยภูมิปฏิบัติขัดแย้งกับข้อกล่าวหาว่าเขาค้ายาเสพติด    

          “ชัยภูมิ ป่าแส” นักกิจกรรมชาวลาหู่ เป็นเด็กที่เติบโตมากับการทำกิจกรรมทางสังคม เช่นการออกค่ายต่างๆ แต่งเพลง เล่นดนตรี และทำหนังสั้น สารคดี และเคยได้รับรางวัลหนังสั้นรางวัลดีเด่นช้างเผือกพิเศษ จาก 16th Thai Short Film and Video Festival เรื่อง “เข็มขัดกับหวี” อีกทั้งชัยภูมิ ยังเคยทำสารคดีหลายเรื่องส่งออกอากาศผ่านทางสถานนีโทรทัศน์ TPBS

          "ชัยภูมิ" ยังเป็นตัวแทนเครือข่ายเยาวชนต้นกล้า จ.เชียงราย ในฐานะตัวแทนของ 19 ชนเผ่า และเข้าร่วมโครงการ “เด็กและเยาวชนส่งเสียงเพื่อสื่อสารสังคม” ซึ่่งจัดโดยมูลนิธิส่งเสริมเพื่อเด็กและเยาวชน สถาบันเด็กและเยาวชน (สสย.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2560 ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ 

 

 

ทหารวิสามัญ“ชัยภูมิ ป่าแส”นักกิจกรรมชาวลาหู่ ดับ!!

         “เรื่องสถานะส่วนบุคคล ต้องยอมรับว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ชายแดนส่วนใหญ่ ไม่ได้รับสถานะส่วนบุคคล ผมเองขณะนี้ก็ยังไม่มีสถานะบุคคล ทั้งที่เกิดในประเทศไทย เมื่อไม่มีสัญชาติทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การเดินทางออกนอกพื้นที่ก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตทางอำเภอ เวลาจะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้สิทธิเหมือนคนไทย ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง ส่วนแรงจูงใจในการเรียนสูงๆ ก็ไม่มี เนื่องจากจบมาสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าทำงานในหน่วยงานของราชการได้ จึงอยากให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ด้วย”ชัยภูมิ กล่าวตอนหนึ่งในเวทีแสดงความคิดเห็นแห่งนี้

        “ชาติพันธุ์ลาหู่”มีประวัติศาสตร์มายานาน 200 ปี นับตั้งแต่อพยพมาจากประเทศจีน ชาติพันธุ์ลาหู่บางส่วนอยู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน บางส่วนก็อพยพมาจากจีนตอนใต้ อพยพมาบนเส้นทางที่ปัจจุบันคือพม่า เรื่อยมาจนถึงไทย

         “ลาหู่”ตั้งถิ่นฐานก่อนการเข้ามาของระบบรัฐสมัยใหม่ สัญชาติ ป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติ ทำให้เกิดการปะทะ ความขัดแย้งระหว่างนโยบายสาธารณะจากกรุงเทพฯ กับชาติพันธุ์ลาหู่ที่ใช้ชีวิตในพื้นที่ดังกล่าวเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการถูกลิดรอนสิทธิ์ในการรับของอุปโภคบริโภคจากบางหน่วยงาน หรือขาดการเข้าถึงสวัสดิการการรักษาพยาบาล เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐพบว่า“ไม่มีสัญชาติ”หรือการถูกเอาผิดจากการเข้าไปทำไร่ทำนาบนที่ที่เคยทำมาแต่เดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็น“พื้นที่ป่าสงวน”

       ชาติพันธุ์ลาหู่เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นฐานตามชายแดนไทย-พม่า ที่ได้รับผลกระทบในชีวิตและทรัพย์สินจากนโยบายทางการเมืองของรัฐบาลกรุงเทพฯ ในช่วงที่มีการปราบปรามยาเสพติดอย่างหนัก ด้วยนโยบาย “สงครามต่อต้านยาเสพติด”ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อช่วง พ.ศ. 2546 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของชาวลาหู่ ที่มีถิ่นฐานในบริเวณที่มีการขนยาเสพติดข้ามแดนชุกชุม

       ว่ากันว่าในช่วงการปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจใช้ความรุนแรงคุกคามชาวลาหู่ ด้วยการบุกรุกเคหสถาน ยึดทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย อุ้มหาย จับกุมคุมขังรวมไปถึงการสังหาร

 

ทหารวิสามัญ“ชัยภูมิ ป่าแส”นักกิจกรรมชาวลาหู่ ดับ!!

       Human Rights Watch รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้ใช้มาตรการรุนแรงในการแก้ไขปัญหายาเสพติดตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2546 เรื่อยไปจนถึง พ.ศ. 2549 ภายหลังการกระทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ โดยผู้เสียชีวิตหลายรายเป็นประชากรของชนพื้นเมืองในภาคเหนือ ซึ่งรายงานระบุว่า เป็นผู้ที่มีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่รัฐบ่อย ผู้เสียชีวิตถูกระบุเอาไว้ใน “บัญชีดำ” จากทางรัฐในฐานะผู้ต้องสงสัยในคดีค้ายาเสพติด ผู้เสียชีวิตหลายรายถูกฆ่าตรงด่านตรวจ หรือไม่ก็หลังจากถูกเรียกไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจหรือค่ายทหารในท้องที่ไม่นาน

        ร่างไร้วิญญาณของ“ชัยภูมิ ป่าแส”ถึงนำส่งที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ และวันรุ่งขึ้น 18 มี.ค.2560 มีรายงานการตายออกมาจาก โรงพยาบาลนครพิงค์ ระบุว่า ชัยภูมิ ป่าแส “เสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืนลูกโดดทำลายอวัยวะในช่องอก"

        ต่อมาทหารผู้กระทำการวิสามัญฆาตกรรม ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจหลังการตายของ“ชัยภูมิ ป่าแส”เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2560 และถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยพนักงานสอบสวนให้ประกันตัวไปสู้คดีในชั้นศาล

 

 

ทหารวิสามัญ“ชัยภูมิ ป่าแส”นักกิจกรรมชาวลาหู่ ดับ!!

       วันรุ่งขึ้นญาติของ"ชัยภูมิ  ป่าแส"ได้มีพิธีการฝังศพชัยภูมิ ตามประเพณีท้องถิ่นที่สุสานของชุมชนอย่างพอเพียงเมื่อวันที่ 20 มี.ค.2560

        21 มี.ค. 2560  แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกแถลงการณ์ เรียกร้องทางการไทยให้ดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นอิสระและเห็นผลต่อกรณีการสังหาร ชัยภูมิ ขณะที่ภาคีองค์กรและเครือข่าย 31 องค์กร ร่วมลงนามแถลงการณ์ท่าทีและข้อเรียกร้องต่อเหตุการณ์ ประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ และขอให้มีการตรวจสอบความจริง    

        ขณะที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ออกแถลงการณ์ ขอให้นำคนผิดมาลงโทษเยียวยาผู้เสียหาย กรณีทหารวิสามัญนักเรียนมัธยม เยาวชนต้นกล้าชาวลาหู่ คุ้มครองพยานในการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง

         เช่นเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีมติที่ประชุมว่าจะหยิบยกเรื่องนี้มาตรวจสอบ โดยจะรวบรวมข้อมูลจากทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และผู้เสียหาย และขอให้พนักงานสอบสวนนำความจริงมาตีแผ่ให้ได้ว่ายาเสพติดจริงๆแล้วเป็นของใคร

         "ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ" นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กChainarong Sretthachauตั้งข้อสังเกตว่า

           1.เป็นความจริงหรือไม่ที่ชัยภูมิจะขนยาบ้าผ่านจุดเกิดเหตุในวันที่ถูกสังหาร เนื่องจากจุดที่เกิดเหตุเป็นด่านถาวร ซึ่งทราบกันดีว่ามี ฉ.ก.ม.5 ตรวจจับยาเสพติดเข้มขันตลอดเวลา ขณะที่ข้อมูลจากคนในพื้นที่ระบุว่า พวกที่ขนยา ไม่มีใครขนทางรถผ่านด่านกัน แต่จะใช้ช่องทางอื่นเพื่อหลบหลีกด่าน

          2.เป็นความจริงหรือไม่ที่ชัยภูมิจะมีอาวุธระเบิด และพกระเบิดพร้อมยาบ้าผ่านด่านที่มีการตั้งถาวร อีกทั้งยังกล้าถือระเบิดต่อสู้ ซึ่งนำไปสู่การที่เขาถูกสังหารอย่างถูกกฎหมายภายใต้สิ่งที่รัฐเรียกว่า “วิสามัญฆาตกรรม”

          3.ชัยภูมิเป็นชาวลาหู่ แต่จะเป็นไปได้หรือที่ชัยภูมิจะขนยาให้กลุ่มว้า เพราะยาบ้าที่ทหารนํามาแสดงโดยอ้างว่าพบจากที่กรองอากาศของรถคันที่ชัยภูมินั่งไปนั้น หีบห่อเป็นยาบ้าของกลุ่มว้า (รัฐฉาน ประเทศพม่า) ซึ่งมีราคาแพง ในขณะที่หากชาวลาหู่จะขนยาบ้าจากกลุ่มลาหู่ (รัฐฉาน ประเทศพม่า) จะเป็นอีกแบบและราคาถูกกว่า

        ประธานสมาคมชาวลาหู่ ให้ความเห็นว่า ไม่ไว้ใจทหาร ตำรวจ บางทีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหารและตำรวจก็เข้ามาสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา รู้สึกว่าทหารตำรวจไม่สามารถพึ่งพาได้ ในขณะที่ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์รู้สึกว่าได้พึ่งพระเมตตาของในหลวงพระองค์ก่อน

          38 วันของการตายของ“ชัยภูมิ ป่าแส”เครือข่ายภาคประชาชนผนึกกำลังกับนักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียกร้องให้เปิดเผยกล้องวงจรปิดสาธารณและหยุดแทรกแซง

          รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า พวกเรามีความกังวลว่า ความล่าช้าความไม่โปร่งใส เช่นเรื่องของกล้องวงจรปิด จะจริงไม่จริงเราไม่รู้ แต่สิ่งที่เราเห็นว่าความพยายามที่จะปกปิดกล้องวงจรปิด โดยทั่วไปคดีวิสามัญฆาตกรรมต้องใช้หลักฐานมากมายจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นตอนนี้คือบรรยากาศโดยรวมของเจ้าหน้าที่รัฐเราคิดว่าเป็นบรรยากาศที่เราไม่ไว้วางใจ ให้การดำเนินตคดีทั้งหมดเป็นไปได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

         ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ประธานกรรมการหัวหน้าศูนย์ศึกษาชติพันธุ์และการพัฒนา กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านไม่ตอบโจษย์คือด่วนสรุปว่าตัวชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เป็นกลุ่มชาติพันธุ์และเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยที่ยังไม่มีข้อมูล ไม่มีการสอบสวนว่าพฤติกรรมของบุคคลนี้ที่่ผ่านมาเป็นอย่างไร ข้อมูลที่ได้จากผู้เกี่ยวข้องไม่มีที่บ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ แม้แต่เงินไม่บัญชีก็ไม่มีมากมายที่จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว

 

ทหารวิสามัญ“ชัยภูมิ ป่าแส”นักกิจกรรมชาวลาหู่ ดับ!!

          เมื่อย้อนกลับมาดูหลักฐานด้านกายภาพ พบว่าลักษณะของด่านตรวจรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นด่านตรวจยาเสพติดของทหาร ตั้งอยู่กลางสามแยก มีการตั้งบังเกอร์ มีสิ่งปลูกสร้างถาวร และมีการตั้งเครื่องกีดขวางทุกทิศทาง โดยเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนในชุมชนบ้านกองผักปิ้ง ใช้เดินทางเข้าออกเป็นประจำ จึงน่าจะมีกล้องวงจรปิด

         1 ปีการตายของนักกิจกรรมชาวลาหู่ “ชัยภูมิ ป่าแส”แต่ข้อเท็จจริงจากกล้องวงจรปิดยังไม่ได้รับการเปิดเผย ทำให้ทนายห่วงการไต่สวนในชั้นศาลสัปดาห์นี้จะมีปัญหา เพราะขาดหลักฐานและพยานจากกล้องวงจรปิด ท่ามกลางข้อเรียกร้องสิทธิพิสูจน์ความจริงก่อนใช้อำนาจรัฐจัดการ

          “คนไร้สัญชาติไม่ใช่คนที่ไร้ตัวตน คนไร้สัญชาติไม่ใช่คนที่ไร้โอกาส ถึงไม่มีสัญชาติแต่เราก็ยังมีลมหายใจ มีชีวิตมีความฝันเป็นเพลงกัน”ท่อนหนึ่งของเพลง “ภูมิใจ” ของนายชัยภูมิ ป่าแส ที่สะท้อนปัญหาไม่เล็กของสังคมเล็กๆ อย่างชนเผ่าลาหู่

           ปมฆ่า“ชัยภูมิ ป่าแส”นักกิจกรรมชาวลาหู่ กลายเป็นความจริงที่ยังไม่ปรากฏ เหตุการณ์ในอดีตที่สะท้อนโดนรัฐกดขี่มาเป็นเวลายาวนาน...

  ---------//----------

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ