
2 ธ.ค. 2518 “ไกสอน พมวิหาน” ผู้นำปฏิวัติมาสู่สปป.ลาว
เกือบจะได้เป็น“หมอ”เมื่อ“ไกสอน หมวิหาน”เรียนวิชาแพทย์ตามคำแนะนำของพ่อ แต่เขาไม่ชอบจึงเปลี่ยนมาเรียนกฏหมายแทน ทำให้รู้กลไกลัทธิล่าเมืองขึ้นและรู้ขบวนการกู้ชาติ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง “ประเทศเยอรมันนี” มีชัยเหนือ“ประเทศฝรั่งเศส”และก่อตั้งคณะรัฐบาลขึ้นที่เมืองวิซี คณะข้าหลวงฝรั่งเศสในอินโดจีนให้การหนุนหลัง “รัฐบาลวิซี”และตกลงเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เมื่อถึงปี พ.ศ.2484 รัฐบาลใต้ภายใต้การนำของ“พลตรีหลวงพิบูลสงคราม”เริ่มต่อต้านอำนาจของฝรั่งเศสที่เริ่มเสื่อมถอย ด้วยการยึด“แขวงไชยบุรี”และ“จำปาศักดิ์”กลับคืนมา
ญี่ปุ่นยุให้ลาวประกาศเอกราช ขบวนการลาวอิสระซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อกู้เอกราชลาวในเวลานั้น ประกาศเอกราชให้ประเทศลาวเป็น“ประเทศราชอาณาจักรลาว” หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็กลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้งหนึ่ง ลาวหันมาปกครอง“ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช”มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ภายใต้การควบคุมดูแลของ“ฝรั่งเศส”
ย้อนไปเมื่อปี 2477 “ไกสอน พมวิหาน”เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนประถมภาษาฝรั่งเศส เขาได้เข้าเรียนมัธยมศึกษาที่ลีเซดูว์พรอแต็กตอรา กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อเรียนจบวิทยาลัยในปี 2485 ได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาแพทย์ตามคำแนะนำของพ่อ แต่เมื่อได้เรียนสักระยหนึ่ง เขาเริ่มรู้สึกว่าวิชาแพทย์ไม่ถูกกับบุคลิกและความชอบในวิชาชีพ เขาจึงได้เปลี่ยนมาเรียน“วิชากฎหมาย”แทน
การเรียนวิชากฎหมาย ทำให้เขาได้เรียนรู้กลไกการปกครองแบบหัวเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ได้เรียนรู้เกี่ยวกับขบวนการต่อสู้ของนักเรียนนักศึกษาที่รักชาติต้านลัทธิล่าเมืองขึ้น ในช่วงนั้นขบวนการเวียดมินห์ภายใต้การนำพาของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนโดย“ประธานโฮจิมินห์”
ไกสอนได้ศึกษาเอกสารสิ่งพิมพ์ที่เป็นเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน รวมทั้งเอกสารอื่น ๆ เช่นเลอทราวาย(Le Travail), หนังสือทฤษฎีปฏิวัติ ซึ่งในนั้นรวมทั้งมติของกองประชุมสากลคอมมิวนิสต์ในปีค.ศ.1919 และหนังสืออื่นๆ เกี่ยวกับโซเวียต เงื่อนไข และสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการต่อสู้ของเวียดมินห์ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวคิด และเส้นทางชีวิตของเขา เขาเคยมีความเห็นว่า การเคลื่อนไหวของเวียดมินห์ได้ทำให้เขาเกิดแนวคิดรักชาติและอยากให้ประเทศเป็นเอกราช
ไกสอนได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมวัยหนุ่มกู้ชาติเวียดมินห์ เมื่อปี 2487เขาได้ร่วมกิจกรรมของสมาคมนี้อย่างมากมาย ทำให้เขาได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวของเวียดมินห์ มาถึงเวลานี้ ไกสอน พมวิหาน ไม่เพียงแต่เป็นนักรักชาติที่มีสติตื่นตัวแล้วเท่านั้น แต่หากยังมีแนวคิดปฏิวัติอีกด้วย
2488 สภาพการของโลกได้ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบโดยตรงต่อชะตากรรมของบรรดาประชาชาติอินโดจีน ต้นเดือนมีนาคม 2488 ศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนได้จัดกองประชุมขึ้น เพื่อตระเตรียมเงื่อนไขอันจำเป็นให้แก่การลุกฮือขึ้นยึดอำนาจการปกครอง เอาเอกราชแห่งชาติมาให้บรรดาประเทศในอินโดจีน
9 พฤษภาคม 2488 “กองทัพแดงโซเวียต”ได้รับชัยชนะ“กองทัพฟาสซิสต์เยอรมัน” ทำให้เป็นโอกาสอันอำนวยสำหรับการลุกฮือขึ้นยึดอำนาจได้เกิดขึ้นสำหรับประชาชนในแหลมอินโดจีน ไกสอนซึ่งก็มาถึงสุวรรณเขตไม่กี่วัน ก็ได้เคลื่อนไหวค้นหานักรักชาติใน“ขบวนการลาวอิสระ”ทั้งดำเนินการปลุกระดมและจัดตั้งชาวหนุ่มลาวและเวียดนามต่างด้าว เข้าร่วมในขบวนการต่อสู้ยึดอำนาจที่สุวรรณเขต
ตามบทเขียนของ“สีซะนะ สีสาน” ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้เข้าร่วมในขบวนนั้นให้รู้ว่า “ในขณะนั้น สหายไกสอน พร้อมด้วยคณะผู้แทนชาวสุวรรณเขต ได้ไปหาพวกญี่ปุ่น และทวงให้ญี่ปุ่นมอบอำนาจให้แก่ชาวลาว ในที่สุดในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1945 พวกญี่ปุ่นก็ได้ยอมมอบปืน 120 กระบอก พร้อมลูกปืนหลายหีบให้แก่ชาวสุวรรณเขต กองกำลังประกอบอาวุธประชาชนได้รับการจัดตั้งขึ้นในทันที และพร้อมกันนั้น ประธาน ไกสอน และผู้เขียน (สีซะนะ) ก็ได้พากันออกไปบ้านบอกให้บรรดากำลังประกอบอาวุธ ”ลาวอิสระ“ เข้ามาสุวรรณเขต เพื่อสมทบกับกำลังประกอบอาวุธประชาชนที่ได้จัดตั้งไว้ก่อนแล้วให้เป็นกำลังประกอบอาวุธอันเดียวกัน*ภายหลังที่การยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว ท่านไกสอน พมวิหาน ก็ได้รับผิดชอบแผนกแถลงข่าวของแขวง”
9 กันยายน 2488 พวกทหารฝรั่งเศสได้บุกโจมตีเข้าตัวเมืองสุวรรณเขต พวกเขาได้ถูกตอบโต้คืนอย่างแข็งแรงจากกำลังประกอบอาวุธประชาชน ต้นเดือนตุลาคม 2488 เขาได้เป็นเจ้าการเคลื่อนไหวปลุกระดม และจัดตั้งมวลชนชาวสุวรรณเขตเกือบ 2,000 คนเข้าร่วมในพิธีต้อนรับเสด็จเจ้าสุภานุวงศ์ที่ได้เดินทางมาจากประเทศเวียดนาม ผ่านสุวรรณเขต เพื่อไปเข้าร่วมในคณะรัฐบาลลาวอิสระที่เวียงจันทน์
เดือนธันวาคม ในปีพ.ศ.2488 ไกสอน ได้ออกเดินทางจากสุวรรณเขตไปฮานอย เพื่อรวบรวมชาวลาวที่อาศัยอยู่เวียดนามเข้าร่วมการต่อสู้ เวลาอยู่ฮานอย เขาได้เข้าทำงานที่วิทยุกระจายเสียงเวียดนาม ภาคภาษาลาว ทำหน้าที่เขียนบทข่าวโฆษณา เขียนบทวิจารณ์ แปลข่าวจากภาษาเวียดนามและภาษาฝรั่งเศสมาเป็นภาษาลาว บางครั้งเขายังเป่าแคนออกทางวิทยุกระจายเสียงอีก ในระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคม 2489 ไกสอนได้เข้าร่วมทำงานในคณะติดต่อลาว-เวียดนามที่ฮานอย องค์การนี้เป็นองค์การรวบรวบคนลาวที่อยู่ฮานอยและแขวงต่าง ๆ ของเวียดนาม เพื่อจัดตั้งองค์การกู้ชาติของคนลาวที่อยู่ในเวียดนามหรือที่อพยพไปเวียดนาม
แต่หลังจากเวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นการสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศส จนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วนในปี พ.ศ. 2492 และได้เอกราชสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496 ในเวลานั้น“ขบวนการลาวอิสระ”ได้ล่มสลายไป แต่เกิด“แนวรักร่วมชาติ”ขึ้น ซึ่งได้พัฒนาเป็น“ขบวนการคอมมิวนิสต์”ประเทศลาว ในเวลาต่อมาได้รับการสนับสนุนจาก“โฮจิมินห์”และ“พรรคคอมมิวนิสต์”ของเวียดนาม
พ.ศ. 2500 เจ้าสุวรรณภูมาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำรัฐบาลผสมในนครเวียงจันทน์ 3 ปีต่อมา เวียงจันทน์เริ่มสั่นคลอนเพราะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มก่อรัฐประหารและกลุ่มต่อต้านการทำรัฐประหาร ฝ่ายขบวนการประเทศลาวก่อการจลาจลขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออก ปีพ.ศ. 2506 รัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนามหันมาใช้เส้นทางโฮจิมินห์ในภาคตะวันออกของลาว เป็นเส้นทางหลักในการส่งกำลังพลไปปราบปรามพวกต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ กองกำลังอเมริกันเริ่มเข้ามาปฏิบัติการลับในลาว พ.ศ. 2516 สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากสงครามเวียดนาม “การทำสงครามหลังฉาก” ในประเทศลาวจึงต้องเลิกราไปด้วย
ไกสอนในยุคต่อสู้กับพวกจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นทั้งเก่าและใหม่ ร่วมกับผู้นำคนอื่น ๆ ได้แก่ เจ้าสุภานุวงศ์,หนูฮัก พูมสะหวัน,คำไต สีพันดอนไกสอนเป็นผู้นำในการต่อสู้ทางการทหารเข้ามาในภารกิจปลดปล่อยชาติ โดยใช้ยุทธวิธี “บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น” ตั้งพรรคประชาชนลาว โดยเขาเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคนแรก โดยในช่วงนั้นพรรคดำเนินงานอย่างปิดลับ โดยแนวลาวฮักซาดเป็นตัวแทนให้กับพรรค
หลังจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์มีชัยเหนือเวียดนามทั้งประเทศได้ไม่นาน โดยยึดกรุงพนมเปญเป็นแห่งแรก ตามมาได้ไซ่ง่อน ขบวนการประเทศลาวยึดอำนาจได้ทั้งหมดในเดือนธันวาคม “เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา”ถูกปลดออกจากราชบัลลังก์ แล้วนำเจ้ามหาชีวิตและมเหสีไปคุมขังในค่ายกักกันจนสิ้นพระชนม์ ตามมาด้วยการสถาปนาประเทศใหม่ชื่อว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” หรือ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2518 พรรคจึงดำเนินงานอย่างเปิดเผย
วันนี้ในอดีต 2 ธันวาคม พ.ศ. 2518 พรรคประชาชนปฏิวัติลาว(คอมมิวนิสต์ลาว) โดย“ไกสอน พมวิหาน”ที่เคารพรักของประชาชนชาวลาว ได้เคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาลระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของ “เจ้ามหาชีวิตสว่างวัฒนา” และจักรพรรดิล่าเมืองขึ้นสำเร็จ แล้วสถาปนาเป็นประเทศ“สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว”หรือ สปป.ลาว และเริ่มปกครองในระบอบสังคมนิยม โดยพรรคการเมืองเดียวคือ“พรรคประชาชนปฏิวัติลาว” มีอำนาจสูงสุด วันนี้ของทุกปี จึงถือเป็น“วันชาติลาว” อีกด้วย
ขณะเดียวกัน มีการบันทึกว่าภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศลาวเมื่อปี 2518 นั้น รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แต่งตั้งให้“อดีตพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา”เป็นที่ปรึกษาประธานประเทศ โดยยังขนานนามให้เกียรติพระองค์ว่า “เสด็จเจ้าศรีสว่างวัฒนา” และได้แต่งตั้ง“เจ้าสุวรรณภูมา” นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของ“พระราชอาณาจักรลาว” ให้เป็นที่ปรึกษาคณะรัฐบาล และยังยินยอมให้พระองค์ได้ประทับอยู่ที่พระราชวังหลวงพระบางต่อไป ในเวลานั้น แม้ว่าพระองค์ไม่ได้มีตำแหน่งใดๆก็ยังพอใจที่จะอยู่อย่างสมถะต่อไป ทุกอย่างแทบเหมือนเดิมเพียงแต่ไม่ได้มีใครเรียกพระองค์ว่า “เจ้ามหาชีวิต” แล้ว
ไกสอน พมวิหาน เคยเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล และพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ๋ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งแรกที่จังหวัดหนองคายและเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศลาวด้วย แต่เขาถึงแก่อสัญกรรมอย่างกะทันหันเมื่อปี2535เสียก่อน หนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศคนต่อมาจึงได้ร่วมพิธีเปิดสะพานมิตรภาพแทน
นอกจาก อนุสรณ์สถานไกสอน พมวิหาน อดีตประธานประเทศลาวผู้ล่วงลับ และเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวลาว โดยเฉพาะในแขวงบ่อแก้วไปกราบไหว้อนุสรณ์สถานของเขาอย่างล้นหลามแล้ว ยังมีรูปหล่อทองสำริดทั้งตัวของอดีตประธานไกสอน พมวิหาน เดินทางไปถึงบ้านเกิดเมืองคันทะบูลี (ชื่อเดิม) และ ทางการมีแผนจะติดตั้งไว้ที่บริเวณสวนสาธารณะริมน้ำโขง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา คุณความดีและศีลธรรมปฏิวัติของอดีตผู้นำนักปฏิวัติคนนี้
--------//-----------
ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย