วันนี้ในอดีต

20 พ.ย. 2538 เจ้าหญิงไดอาน่า ออกสื่อฯ  ต้นตอการหย่าร้าง!

20 พ.ย. 2538 เจ้าหญิงไดอาน่า ออกสื่อฯ ต้นตอการหย่าร้าง!

20 พ.ย. 2560

วันนี้ในอดีต กับการให้สัมภาษณ์ ที่เจ้าหญิงไดอานา ทรงบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของพระองค์ แต่ก็ทำให้เกิดเรื่องราวบางอย่างตามมา!

           วันที่ 20 พ.ย. 2538 หรือวันนี้เมื่อ 22 ปีก่อน ถือเป็นวันที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ "เจ้าหญิงไดอานา" แห่งราชวงศ์วินเซอร์ เมื่อสถานีโทรทัศน์ BBC ออกอากาศการให้สัมภาษณ์ของพระองค์ ผ่านรายการ "พาโนรามา" โดยมีนายมาร์ติน บาเชียร์ เป็นพิธีกร

           โดยในเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ เจ้าหญิงไดอานาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตรักอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน และชีวิตครอบครัวอันล่มสลายกับเจ้าฟ้าชายชาลส์อย่างหมดเปลือก

        ขณะที่ยังพูดถึงตัวเองว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในหัวใจของประชาชน” และพูดถึงความเหมาะสมของเจ้าชายชาลส์ต่อการขึ้นครองราชย์ว่า “ฉันรู้สึกว่าหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ยิ่งใหญ่ บทบาทใหม่จะนำข้อจำกัดมากมายมาสู่พระองค์ และฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งนี้ได้อย่างไร”

 

 

20 พ.ย. 2538 เจ้าหญิงไดอาน่า ออกสื่อฯ  ต้นตอการหย่าร้าง!

   

          แน่นอน หลังจากนั้นเรื่องนี้ ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั้งอังกฤษ และอาจถึงทั่วโลก จนสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ถึงกับมีพระราชสาส์นไปถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยทรงแนะนำให้ทั้งสองหย่าขาดกันอย่างเป็นทางการ

 

           โดยช่วงวันที่ 20 ธันวาคม 2538 สำนักพระรางวังบักกิ้งแฮมออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระราชินีมีพระราชสาส์นถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เพื่อทรงแนะนำให้ทั้งสองหย่าขาดกันอย่างเป็นทางการ โดยมีนายกรัฐมนตรี คณะองคมนตรีอาวุโส และสถานีโทรทัศน์ BBC เป็นผู้สนับสนุนสมเด็จพระราชินีให้ทรงออกมาชี้ขาดเรื่องนี้ หลังได้ปรึกษาหารือมานานกว่าสองสัปดาห์

 

           และงานนี้ หลายคนถึงกับอึ้ง!! เมื่อทางด้านของเจ้าชายชาลส์ ที่ได้ตอบตกลงทันที ขณะที่ฟากของเจ้าหญิงเองได้ใช้เวลาคิดถึง 2 เดือน!

 

           จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2539 เจ้าหญิงไดอานาได้ทรงตอบตกลงหย่าในที่สุด หลังจากได้เจรจากับเจ้าชายชาลส์และตัวแทนของสมเด็จพระราชินี

 

           สำหรับการหย่าขาดเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 28 สิงหาคม 2539 โดยหลังการหย่า เจ้าหญิงไดอานาได้รับค่าเลี้ยงดูราว 17 ล้านปอนด์จากอดีตพระสวามี และไม่กี่วันก่อนการหย่าเสร็จสมบูรณ์สำนักพระราชวังได้ประกาศให้ไดอานาพ้นจากสถานะชายาของเจ้าชายแห่งเวลส์ สูญเสียอิสริยศชั้นเจ้า (Her Royal Highness) คงใช้แต่เพียงพระนาม ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์

 

           ทั้งนี้ หลังการหย่า เจ้าหญิงไดอานาได้อพาร์ตเมนต์ผั่งทิศเหนือของพระราชวังเคนซิงตันเพิ่มเป็นสองชุด ที่ครั้งหนึ่งเคยพำนักร่วมกับเจ้าชายชาลส์ในปีแรกของการเสกสมรส และพักอาศัยอยู่ที่นั่นตราบจนสิ้นพระชนม์

 

           และเป็นที่ทราบกันดีว่า หลังจากนั้น มีข่าวว่ากุหลาบอังกฤษรายนี้ เจ้าหญิงไดอานาก็พบรักครั้งใหม่กับ โดดี อัล ฟาเยด ลูกชายของมหาเศรษฐี โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์รอดอันโด่งดัง

 

          แต่ความรักของทั้งคู่ เหมือนต้องคำสาป เมื่อพวกเขาต้องมาประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตในคราวเดียวกัน หลังจากที่หลบหนีการติดตามถ่ายภาพของ ปาปารัซซี่

 

          เรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขากลับจากล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเทียบฝั่งที่ฝรั่งเศส เจ้าหญิงไดอานาและโดดีได้เดินทางต่อไปที่กรุงปารีส เพื่อหยุดพักค้างคืนที่อพาร์ตเมนต์ ก่อนที่จะกลับลอนดอนในต้นเดือนกันยายน

 

          ช่วงเที่ยงคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2540 ทั้งคู่ออกจากโรงแรมริทซ์ แต่เพราะถูกช่างภาพอิสระรุมติดตามเพื่อถ่ายภาพ รถยนต์ที่ทั้งคู่นั่งมาจึงได้เร่งความเร็วเพื่อหลบหนีการไล่ตามของบรรดาช่างภาพ

 

          จนเมื่อมาถึงถนนลอดอุโมงค์ปองต์ เดอ ลัลมา ที่มีความลาดชันสูง สงผลให้นายอองรี พอล คนขับไม่สามารถควบคุมรถยนต์ได้ รถยนต์จึงพุ่งชนคอนกรีตกลางถนนอย่างจังและหักเลี้ยวอย่างกะทันหัน

         

          เพียงไม่กี่นาที่รถเบนซ์ W140 คันงาม ก็กลายเป็นเศษเหล็กแหลก เป็นเหตุให้ทั้งคนขับ และโดดี ฟาเยด เสียชีวิตทันที

 

          ส่วนเจ้าหญิงของพวกเราได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายแห่งภายในทรวงอก และได้สิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลปีเต-ซัลแปร์ติแยร์ ชานกรุงปารีส ในเวลา 3.57 น.

 

          มีเพียงนาย เทรเวอร์ รีส-โจนส์ องครักษ์ส่วนตัวของนายโดดีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดตายหวุดหวิด

 

          เหตุการณ์นี้นับว่าสร้างความเศร้าสะเทือนใจแก่ชาวโลกที่รักและชื่นชอบในตัวเจ้าหญิงไดอาน่าเป็นอันมาก

 

          ขณะที่หลายคนก็รู้สึกสลดใจ ไปกับชีวิตที่แสนอาภัพของพระองค์ ซึ่งการเกิดมาในตระกูลชั้นสูง มีชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สฤงคาร ไม่ได้ทำให้เธอพบกับความสุขที่แท้จริงเลย

 

          ขอรำลึกการจากไปของกุหลาบอังกฤษดอกนี้ด้วย

///////////////////

ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

และ สำนักข่าว BBC