วันนี้ในอดีต

วันนี้ในอดีต 1  ก.ย.2533 ‘สืบ นาคะเสถียร’ ยิงตัวตาย

วันนี้ในอดีต 1 ก.ย.2533 ‘สืบ นาคะเสถียร’ ยิงตัวตาย

01 ก.ย. 2560

วันนี้ในอดีต1ก.ย. 2533 ‘สืบ นาคะเสถียร’อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง  ยิงตัวตาย เป็นการเสียสละด้วยชีวิตเพื่อส่วนรวม

          วันนี้ในอดีต 1 ก.ย. 2533 ‘สืบ นาคะเสถียร ’  อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง  ได้ตัดสินใจยิงตัวตายจากความกดดันในงานที่เขาต้องรับผิดชอบ  
           ในปี 2542 อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี แห่งคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เคยรายงานผลการสำรวจประชามติความคิดเห็นของคนไทย โดยหนึ่งในแบบสำรวจประชามติมีการตั้งคำถามว่า ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ท่านเสียดายการจากไปของสามัญชนผู้ใดมากที่สุด 10 อันดับ ผลปรากฏว่า อันดับ 1 คือ หลวงปู่แหวน อันดับ 2 สืบ นาคะเสถียร
           มีบางคนกล่าวว่า แม้สืบ นาคะเสถียร’จะตายจากไปนานมากแล้วแต่ดูเหมือนว่า‘สืบ’ได้กลายเป็น‘วีรบุรุษ’ในดวงใจของคนไทยที่ให้การยอมรับมากที่สุด

         'สืบ'มีชื่อเดิมว่า "สืบยศ" มีชื่อเล่นว่า "แดง" เกิดที่ตำบลท่างาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบุตรของนายสลับ นาคะเสถียร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี 

         'สืบ'ศึกษาระดับประถมตอนต้นที่โรงเรียนประจำจังหวัดปราจีนบุรี มีผลการเรียนดีมาตลอด เมื่อว่างเรียนก็ช่วยเหลือครอบครัวทำไร่ไถนา และยกเสริมแนวคันนาเองเพื่อไม่ให้มีข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน เมื่อจบประถมศึกษาปีที่ 4 ได้เรียนต่อที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ครั้นจบมัธยมศึกษาปีที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2511 ได้เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2514 หลังจากสำเร็จการศึกษาได้เข้าทำงานที่การเคหะแห่งชาติ จนถึงปี พ.ศ. 2517 และได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทในสาขาวิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2518

       เมื่อสำเร็จปริญญาโท 'สืบ'เข้ารับราชการเป็นพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ขณะนั้นกองอนุรักษ์สัตว์ป่าเพิ่งก่อตั้งขึ้น และสืบเลือกหน่วยงานนี้เพราะต้องการงานเกี่ยวกับสัตว์ป่า งานแรกของสืบคือการประจำอยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ณ ที่นั้น สืบได้ทราบว่ามีผู้ทรงอิทธิพลบุกรุกทำลายป่าเป็นจำนวนมาก

       ต่อมา พ.ศ. 2522 สืบได้รับทุนการศึกษาจากบริติชเคาน์ซิล จึงศึกษาระดับปริญญาโทอีกที่สาขาอนุรักษวิทยา มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ และสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2524 แล้วกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ มีส่วนร่วมฝึกอบรมพนักงานพิทักษ์ป่าหลายรุ่น ครั้นปี พ.ศ. 2526 สืบขอย้ายไปเป็นนักวิชาการประจำกองอนุรักษ์สัตว์ป่า เพื่อทำหน้าที่วิจัยสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียว

          ธันวาคม พ.ศ. 2532 ‘ สืบ’ เดินทางเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ด้วยความมุ่งมั่นและใจเต็มร้อยที่จะรักษาผืนป่าที่นี่ให้ดีที่สุด และในอนาคต เขาหวังว่า‘ป่าห้วยขาแข้ง’ จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งอื่นๆ
            ‘สืบ’บอกกับคนรอบข้างว่า“ตอนนี้ผมสามารถให้ทุกสิ่งกับห้วยขาแข้งได้”
             ‘ห้วยขาแข้ง’เป็นป่าที่มีพื้นที่ขนาด  1 ล้าน 6 แสนกว่าไร่เศษ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าหายากจำนวนมาก เช่น กระทิง วัวแดง ควายป่า นกยูงไทย สมเสร็จ เสือโคร่ง เสือดาว ช้างป่า ฯลฯ
วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ออกจับไม้เถื่อนทันที  'สืบ'พบว่าปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การลักลอบล่าสัตว์ เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวันในเวลานั้น
             “ผมพูดได้เลย มันมีการยิงกันทุกวัน ไปตามก็เจอแต่กองไฟ เจอซากที่ชำแหละไว้เรียบร้อย จับมันได้ครั้งหนึ่งมันพร้อมจะล่าสิบครั้งกว่าจะโดนจับ ถูกปรับแค่ 500 บาท คุกก็ไม่ติด กว่าเราจะจับมันได้ ต้องไปอดหลับอดนอนแบกข้าวสารไปกินในป่า มันหนีเราแต่เราต้องตามจับ อย่างเมษายนปีที่แล้ว ลูกน้องผมถูกนายพรานยิงตายสองคน เจ้าหน้าที่ยิงก่อนก็ไม่ได้ ถือว่าเกินกว่าเหตุ ผู้ต้องหามันเห็นหน้าเรา มันยิงใส่เราแล้ว เราก็ตาย เรามีค่าเหรอ ตายไปอย่างดีก็เอาชื่อมาติดที่อนุสาวรีย์”
              ด้านตะวันออกของ‘ป่าห้วยขาแข้ง’อยู่ติดกับหมู่บ้านหลายแห่ง ชาวบ้านเองมักจะลักลอบเข้ามาล่าสัตว์ หรือเป็นคนนำทางให้แก่พรานในเมือง บางครั้งก็มีใบสั่งจากกลุ่มอิทธิพลว่าต้องการสัตว์ป่าประเภทไหน  ‘สืบ’ นิ่งเงียบและเจ็บปวดอยู่ในใจ จับนักล่าไม่ได้แต่สัตว์ตายตลอด แต่พอจับคนล่าได้ คนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนยากคนจน ไม่สามารถลากคอผู้บงการหรือเจ้าของร้านอาหารสัตว์ป่ามาลงโทษได้
              พนักงานพิทักษ์ป่าผู้ใกล้ชิด 'สืบ' เปิดเผยว่า“พอพี่สืบมาเป็นหัวหน้าเขตฯ วงการค้าไม้เถื่อนหรือล่าสัตว์ป่ามีการเคลื่อนไหว เพราะอาจรู้กิตติศัพท์ที่ว่าหัวหน้าสืบเป็นคนทำงานจริงจัง ไม่กลัวอิทธิพลใดๆ แต่การล่าสัตว์เป็นปัญหาที่หนักมากในเวลานั้น ทุกคืนพี่สืบจะฟังเสียงปืนด้วยความอดทน ถ้าเราไปเราก็เสียเปรียบ คือเราได้ยินเสียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงปืนล่าสัตว์ หรือเขาต้องการล่อให้เจ้าหน้าที่ออกไปโดนยิง พี่สืบ เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้องมาก”
                ‘สืบ’เริ่มตระหนักว่า ปัญหาในป่าห้วยขาแข้งดูจะยิ่งใหญ่และสลับซับซ้อนมากกว่าที่เขาประเมินไว้แต่แรก ‘สืบ’พยายามขอความร่วมมือจากหน่วยราชการนอกป่าห้วยขาแข้ง ในการช่วยกันป้องกันการทำลายป่าและการล่าสัตว์โดยเฉพาะบริเวณป่าสงวนรอบๆ ป่าห้วยขาแข้งซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของเขา เขาพยายามเดินเข้าหาผู้ใหญ่ ไปพูดคุยกับทุกคน แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง
                 แต่‘สืบ’ก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆ  หนทางเดียวที่จะทำให้‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง’ได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี คือการผลักดันให้ป่าแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก ‘สืบ’จึงรีบลงมือเก็บข้อมูลอย่างหนักเพื่อทำรายงานเสนอยูเนสโกจนสำเร็จในเวลาต่อมา
                เดือนพ.ค 2533 รัฐมนตรีคนหนึ่ง เรียก'สืบ'ไปพบที่กรุงเทพฯ เขาเตรียมข้อมูลอย่างดีและพยายามที่จะอธิบายถึงปัญหาอันยุ่งยากที่เขาและลูกน้องต้องประสบ แต่เขาไม่มีโอกาสชี้แจง เพียงแต่ได้รับคำบอกสั้นๆว่า“คุณต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม”
               ‘สืบ’โกรธมากและตอบกลับไปว่า"ผมทำงานหนักกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากว่าท่านจะยืดเวลาหนึ่งวันให้ยาวไปกว่านี้ และผมไม่อาจบอกคนของผมให้ทำงานหนักกว่านี้ได้อีกแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย”
              ‘สืบ’กลับออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งและถูกกดดัน เขาบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขาเชื่อมั่นว่า ความพยายามแทบเป็นแทบตายของเขานั้นไม่ได้รับการตอบสนองจากใครทั้งสิ้น เขารู้สึกสิ้นหวัง
              เขาบอกคนใกล้ชิดว่า“ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ผมไม่อาจจะคาดหวังจากใครได้อีกต่อไป”
              ภายหลังเหตุการณ์ในวันนั้น  มีคนสังเกตเห็น‘สืบ’ เครียดและผอมลงไปมาก
              เช้าวันที่ 31 ส.ค. 2533‘ สืบ’ อยู่ในชุดกางเกงสีครีม สวมเสื้อสีส้มอ่อนๆ เดินขึ้นไปบนสำนักงาน เขียนหนังสือและครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนกระทั่งตกบ่าย ‘สืบ’เริ่มเอาสิ่งของที่เคยยืมมาไปคืนเจ้าของ ประมาณห้าโมงเย็น‘สืบ’เดินมาชวนลูกน้องคนสนิทสองสามคนนั่งกินเหล้า   ใกล้เที่ยงคืน ก็บอกลากลับไปบ้านพัก โดยหันมายิ้มกับลูกน้องเหมือนกับคนที่มีความสุขที่สุด แลพพูดขึ้นว่า ‘ไปแล้วนะ’
             ประมาณตีสี่ของวันที่ 1  ก.ย. 2533 ยามใน‘ห้วยขาแข้ง’ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด แต่ไม่มีใครคิดอะไร ในป่าแห่งนี้เสียงปืนเป็นเรื่องธรรมดา จนประมาณสิบโมงเช้า เจ้าหน้าที่เริ่มแปลกใจว่า‘หัวหน้าสืบ’ยังไม่ลงมากินข้าว จึงเดินไปตาม เมื่อไขกุญแจบ้านเข้าไป เขาพบร่างที่ไร้ลมหายใจของ‘สืบ’อยู่บนเตียง มีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนข้อความไว้ว่า
            “ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น”ลงชื่อ สืบ นาคะเสถียร ผู้ตาย
           ‘สืบ’มีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่าและป่าไม้ในป่าห้วยขาแข้งอยู่รอด แต่เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ แต่่เขาเป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการและความมุ่งมั่นของตัวเอง
           บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตาย อาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้