คอลัมนิสต์

สีเขียวแรง "พล.ท.บุญสิน" พร้อมปกป้อง "ช่องบก" วัดกำลังรบ ไทย-กัมพูชา

สีเขียวแรง "พล.ท.บุญสิน" พร้อมปกป้อง "ช่องบก" วัดกำลังรบ ไทย-กัมพูชา

05 มิ.ย. 2568

พลังสีเขียวมาแรง "พล.ท.บุญสิน" พร้อมรบ อพยพคนชายแดน กลางกระแสชาตินิยม วัดกำลังรบ ไทย-กัมพูชา

เป็นครั้งแรก พล.ท.บุญสิน แม่ทัพภาคที่ 2 พบภูมิธรรม กลางสมรภูมิเนิน 500 ท่ามกลางกระแสชาตินิยม มวลชนรักสีเขียว 


ตรวจแนวรบ พล.ท.บุญสิน เดินสายปลุกขวัญกำลังพล พร้อมรบ ซ้อมอพยพประชาชนตามแนวชายแดน

สัปดาห์นี้ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่ปลุกขวัญกำลังพลตลอดแนวชายแดน-กัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นปราสาทตาเมือนธม ช่องบก และภูมะเขือ

ช่วงบ่ายวันที่ 4  มิ.ย. 2568 ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้พบ พล.ท.บุญสิน เป็นครั้งแรกนับแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 68

รองนายกฯ ภูมิธรรม ได้ลงพื้นที่ อบต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนของกองกำลังสุรนารี และได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล พร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญ ณ ฐานปฏิบัติการเนิน 500

ดังที่ทราบกัน มีข่าวลือเรื่องฝ่ายการเมืองจะปลดแม่ทัพภาคที่ 2 แต่รองนายกฯภูมิธรรม ก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง

อนึ่ง ก่อนหน้านั้น แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ปฏิเสธใช้มาตรการปิดด่านชายแดน ตามข้อเสนอของฝ่ายทหาร ที่หวังกดดันตอบโต้ทหารกัมพูชา ที่รุกล้ำพื้นที่ฝั่งไทยเข้ามา 200 เมตร

ภูมิธรรม และ พล.ท.บุญสิน ร่วมตรวจแนวชายแดน บริเวณเนิน 500

กองทัพแอ็กชันพร้อมรบ


ขณะที่สมเด็จฮุน เซน และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเกมรุก เร็ว แรง จะนำปมพื้นที่พิพาทช่องบก ตาเมือนธม และตาเมือนโต๊ด สู่ศาลโลก แต่ฝั่งรัฐบาลแพทองธาร กลับงุ่มง่ามเชื่องช้า จึงทำให้คนไทยรู้สึกไม่พอใจ

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดกระแสชาตินิยม กระแสรักสีเขียวในหมู่ประชาชนไทย บวกกับแอ๊คชั่นของเหล่าทัพ ที่โชว์กำลังรบ ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 3

อย่างเช่นวันที่ 3 มิ.ย. 2568 พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 เดินสายตรวจความพร้อมรบของกองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11) หรือกองพลสไตร์เกอร์ และกองพันพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว RDF จ.กาญจนบุรี

อีกด้านหนึ่งในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เริ่มอพยพเด็ก สตรีผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียงในหมู่บ้านตามแนวชายแดน ออกจากพื้นที่ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว

ทุกวันนี้ คนไทยแถว อ.น้ำยืน อ.นาจะหลวย จ.อุบลฯ อ.กันทรลักษณ์ อ.ขุนหาร จ.ศรีสะเกษ และ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้พบเห็นการเคลื่อนไหวของทหารไทยที่เข้าประจำการเต็มพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 

เปรียบดุลกำลังรบ 2 ชาติ


หากไทย-กัมพูชา ต้องรบกันจริงเหมือนเมื่อปี 2554 ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ มองว่า กองทัพไทยประมาทกองทัพกัมพูชาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นประเทศที่เล็กกว่า แต่ศักยภาพกองกำลังเขาก็เข้มแข็งขึ้น รวมถึงเขายังมีประเทศมหาอำนาจอย่างจีนคอยหนุนหลังอยู่

ทีมข่าวความมั่นคงกรุงเทพธุรกิจวิเคราะห์ฉากทัศน์การสู้รบโดยอ้าง หน่วยงานความมั่นคงไทย ซึ่งเคยประเมินศักยภาพกองทัพกัมพูชาในห้วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาใกล้เคียงกับกองทัพไทย

ทั้งการเพิ่มกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับจากประเทศมหาอำนาจจำนวนมาก อาทิเช่น
 

  • ปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 ระยะยิง 30-53 กิโลเมตร และสามารถยิงกระสุนนำวิถีด้วยเลเซอร์ได้
  • จรวดหลายลำกล้อง Type 90B/RM-70/BM-21 มีระยะยิง 20-40 กิโลเมตร
  • จรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ระยะยิง 70-130 กิโลเมตร
  • จรวดต่อสู้อากาศยาน KS-1C ระยะยิง 70 กิโลเมตร


หากเปรียบเทียบกำลังรบไทย-กัมพูชา เมื่อปี 2554 พบว่า ขณะนั้นกำลังรบไทย 1 กัมพูชา 0.3 แต่ปัจจุบันกำลังรบไทย 1 กัมพูชา 0.8-0.9

ที่สำคัญ การสู้รบสมรภูมิตาเมือนธม-ตาเมือนควาย ปี 2554 ทหารไทยใช้เวลารบกับทหารกัมพูชา 10 วัน ทัพเขมรล่าถอย 

ปัจจุบันทหารไทยอาจต้องใช้เวลา 20 วัน และต้องระดมกำลังรบเป็น 3 เท่าของปี 2554 จึงจะกดดันให้ทัพกัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาสันติภาพได้