คอลัมนิสต์

รัฐซ้อนรัฐ "ทักษิณ" สู้วิบาก "ชั้น 14" มติแพทยสภา สารตั้งต้นป่วยจริง-ป่วยทิพย์

รัฐซ้อนรัฐ "ทักษิณ" สู้วิบาก "ชั้น 14" มติแพทยสภา สารตั้งต้นป่วยจริง-ป่วยทิพย์

08 พ.ค. 2568

ฝ่าสมรภูมินิติสงคราม "ทักษิณ" เผชิญวิบาก "ชั้น 14" มติแพทยสภา สารตั้งต้นคดีป่วยทิพย์หรือไม่

การเมืองซับซ้อน ทักษิณ เผชิญวิบากชั้น 14 แพทยสภา ชงฟันจริยธรรม 3 นายแพทย์ สารตั้งต้นคดีป่วยทิพย์หรือไม่

 

รัฐซ้อนรัฐ ครม.แพทองธาร หนาว ฝ่าแนวรบนิติสงครามยกใหม่ ส่อเกิดวิกฤตการเมือง ฝ่ายต้านคนหน้าเดิมไชโยโห่ร้อง

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับไต่สวนเอง กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พักรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ป่วยจริงหรือไม่ ก็ถือว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองทันที

ก่อนจะถึงวันที่ศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนนัดแรกวันที่ 13 มิ.ย. 2568 ก็มีข่าวใหญ่เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ได้มีมติลงโทษแพทย์ 3 คน โดยเป็นการว่ากล่าวตักเตือน 1 คน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน ในกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง

มติแพทยสภาดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากการสอบสวนจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ และแพทย์ รพ.ตำรวจ กรณีการพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

จากนี้ไป แพทยสภาจะเสนอมติต่อสภานายกพิเศษ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอความเห็นชอบก่อนจะดำเนินการตามมติ ซึ่งเป็นขั้นตอนตาม พรบ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ต่อไป

สภานายกพิเศษคือ รมว.สาธารณสุขโดยตำแหน่ง ก็คือสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข

หาก รมว.สาธารณสุข มีความเห็นยับยั้ง ต้องให้คณะกรรมการแพทยสภา ประชุมเพื่อลงมติอีกครั้ง โดยต้องใช้เสียงยืนยันมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งคณะ

ปัจจุบัน คณะกรรมการแพทยสภาชุดปัจจุบัน มีทั้งหมด 71 คน เป็นโดยตำแหน่ง 36 คน และมาจากการเลือกตั้ง 35 คน
 

ทักษิณ ต้องสู้กับนิติสงคราม อีกรอบ

ป่วยวิกฤตจริงหรือไม่


จากประเด็น “ป่วยวิกฤติ” หรือ “ป่วยทิพย์” เชื่อได้ว่า ศาลฎีกาฯ อาจทำหนังสือถึงแพทยสภา เพื่อขอให้ส่งผลการสอบสวน และมติที่ประชุมแพทยสภาและรายงานการประชุมแพทยสภามาให้ศาลฎีกาฯ

รวมถึงอาจเรียกตัวแทนแพทยสภามาเบิกความวันที่ 13 มิ.ย. 2568 ซึ่งเป็นวันแรกที่มีการนัดไต่สวนคดีนี้ จะทำให้รูปคดีการไต่สวนในชั้นศาลฎีกาฯ อาจไม่เป็นผลดีกับทักษิณ รวมถึงคนที่เกี่ยวข้อง

เนื่องจากผลการสอบสวนของแพทยสภา น่าจะมีน้ำหนักมากกว่าหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงจาก รพ.ตำรวจ,กรมราชทัณฑ์ และรพ.ราชทัณฑ์ ที่จะส่งมาให้ศาลฎีกาฯ ภายใน 30 วัน ตามคำสั่งของศาลฎีกา

ศาลเบรกออกนอกประเทศ


บังเอิญวันเดียวกันกับบอร์ดแพทยสภาประชุมใหญ่ ก็มีรายงานข่าว อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

ปรากฏว่า ศาลอาญาไม่อนุญาต ให้ทักษิณ เดินทางไปกาตาร์ ตามคำเชิญของเจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ ชี้เป็นหมายนัดส่วนตัว

เหตุผลที่ศาลยกคำร้อง ประการแรก เนื่องจากศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนแล้วเห็นว่า จำเลยได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์จากสำนักบริหารผู้รับเชิญ พระราชวังลูเซล ไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ประเทศการ์ตา จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ อันมีลักษณะเป็นหนังสือเชิญส่วนตัว มิได้เชิญจำเลยในฐานะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนประจำปี 2568

ประการที่สอง ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการที่แน่ชัด เพียงแต่คาดหมายว่าหากประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ มางานเลี้ยงดังกล่าว จำเลยจะมีโอกาสพบปะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ และทีมเศรษฐกิจเท่านั้น

ประการที่สาม ช่วงที่อดีตนายกฯทักษิณ ขอเดินทางไปต่างประเทศนั้นอยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้วันนัดพิจารณาคดีที่ศาลฎีกาในวันที่ 13 มิ.ย. 2568 อาจกระทบต่อกระบวนพิจารณาของศาลได้