คอลัมนิสต์

200 ปี อับราฮัม ลินคอล์น

200 ปี อับราฮัม ลินคอล์น

30 มี.ค. 2552

ในบรรดาประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจากอดีตถึงปัจจุบัน อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับการยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน และวีรบุรุษผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของชาวอเมริกัน แม้ว่าการต่อสู้นั้นจะต้องแลกด้วยชีวิตของตน

 อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1809 หรือเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐเคนทักกี ในครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน ชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องระหกระเหินตามบิดามารดาไปทำไร่ตามที่ต่างๆ ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องที่ดินและภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า และทำให้ ลินคอล์น ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความเป็นคนที่ใฝ่รู้ ทำให้เขาแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากการอ่านและทดลองลงมือปฏิบัติ

 ลินคอล์น สนใจการเมืองมาตั้งแต่วัยหนุ่ม และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐอิลลินอยส์ ในปี 1832 โดยแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการต่อต้านการค้าทาส และการสร้างโอกาสแก่ผู้ยากไร้ เขาเคยให้คำมั่นว่า "คนที่ใช้แรงงานเพื่อผู้อื่นเมื่อปีที่แล้ว จะต้องเป็นผู้ที่ใช้แรงงานเพื่อสร้างผลประโยชน์ของตนเองในปีนี้ และเป็นผู้จ้างแรงงานคนอื่นในปีหน้า"

 1836 ลินคอล์น ประกอบอาชีพเป็นทนายความ และแต่งงานกับ แมรี่ ทอดด์ ในปี 1842 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 4 คน ในปี 1947-1949 ลินคอล์นได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และต่อต้านการที่สหรัฐทำสงครามกับเม็กซิโก เนื่องจากเห็นว่าเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ เขาไม่ได้คัดค้านในการที่สหรัฐผนวกดินแดนของรัฐเทกซัส หากแต่เห็นว่านั่นจะยิ่งทำให้เป็นการขยายพื้นที่ของการมีทาสออกไป

 ในปี 1856 ลินคอล์นได้ร่วมก่อตั้งพรรครีพับลิกันขึ้น และยึดมั่นในแนวคิดของตนเรื่องการจำกัดการมีทาสและต่อต้านการค้าทาส ซึ่งนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นกลับเป็นแรงผลักดันให้เขาเบนเข็มเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีซึ่งจะมีขึ้นในปี 1860 แทน ท่ามกลางเค้าลางของความแตกแยกของมลรัฐภาคเหนือซึ่งมีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและมีแนวคิดเสรีนิยม กับมลรัฐทางภาคใต้ซึ่งพึ่งพาภาคเกษตรกรรมและมีแนวคิดอนุรักษนิยม

 แม้ว่าลินคอล์นจะมีชัย ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากพรรครีพับลิกัน แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เขาเข้าสู่ทำเนียบขาว มลรัฐฝ่ายใต้รวมทั้งหมด 11 รัฐ ก็ประกาศแยกตัวเป็นสหพันธรัฐอเมริกา และลงมือโจมตีที่มั่นของรัฐบาลกลาง อันนำไปสู่สงครามกลางเมือง ซึ่งกินเวลาในการสู้รบกันยาวนานถึง 4 ปี ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 6 แสนคน และบาดเจ็บอีกประมาณ 4 แสนคน และท้ายที่สุดก็จบลงด้วยชัยชนะของทหารฝ่ายสหรัฐ 

 ลินคอล์น ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นสมัยที่สองในปี 1864 และผลักดันให้รัฐสภาออกกฎหมายเลิกทาสได้สำเร็จในเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1865 แต่แล้วในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน ปีเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ลินคอล์นและภรรยากำลังนั่งชมการแสดงละครในโรงละครแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน คนร้ายซึ่งเป็นนักแสดงละครคนหนึ่งได้ใช้ปืนพกจ่อยิงที่ศีรษะด้านหลังของลินคอล์น ปลิดชีวิตประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่

 แม้จะมีเรื่องชวนฉงนอยู่หลายเรื่องเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ อับราฮัม ลินคอล์น แต่สิ่งหนึ่งซึ่งชัดเจนตลอดมาก็คือ แนวคิดและจิตใจที่มุ่งมั่นต่อความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเอง การยืนหยัดเพื่อสิทธิเสรีภาพ และอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตย ดังเช่นคำพูดอันเป็นอมตะของเขาที่ว่า

 "ประชาธิปไตยคือการปกครองโดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน"

 “คุณอาจจะหลอกทุกคนได้บางเวลา หรือคุณอาจจะหลอกคนบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณจะไม่สามารถหลอกคนทุกคนได้ตลอดเวลา”

 “ธำรงไว้ซึ่งความเป็นรัฐ และทำให้การเป็นทาสสิ้นสุดลง” และ

 “ภายใต้พระเจ้า เสรีภาพย่อมจะกำเนิดขึ้นใหม่ และรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ย่อมไม่มีวันถูกทำลายไปจากโลกนี้”