
จิงโจ้ธิปไตย
(สำหรับคนที่ตามมุกไม่ทัน เมื่อนานมาแล้ว มีคำกล่าวที่ว่า อยากเจอคนจริงใจ ไม่จริงโจ้ - จิงโจ้)
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยในช่วงนี้ ผมกำลังรู้สึกว่า ถ้าเราไม่ใช่จิงโจ้ เราก็พยายามกล่าวหาว่าคนอื่นเป็นจิงโจ้กันหมด
โจทย์ที่สำคัญในการปฏิรูปการเมืองของไทยจึงอาจจะต้องไปให้พ้นจากเรื่องของการสร้างกลไกกำกับพฤติกรรมนักการเมืองด้วยกฎหมาย
เพราะสิ่งที่เราเผชิญหน้าในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่นมากมายนัก
ในความหมายที่ว่าการทุจริตคอรัปชั่นนั้นเป็นเพียงหาประโยชน์จากวัตถุ
แต่การหาประโยชน์จากคนด้วยกันต่างหากที่น่ากลัวกว่า และสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ว่าด้วยการบริหารความเห็นแก่ตัวผ่านการเป็นตัวแทนที่ลงมาเล่นในกติกาเดียวกัน ที่เรารู้จักกันในนามของการเลือกตั้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้คือ การเฟื่องฟูของการใช้หรืออ้างอิงคนหรือสถาบันต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนเองในทุกๆ ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งก็อ้างสีหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็อ้างอีกสีหนึ่ง
ต่างฝ่ายต่างตรวจสอบความจริงใจแต่ของฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่เปิดเผยความจริงใจของตัวเอง
ที่มากกว่านั้นก็คือ บางคนถึงกับใช้คำอธิบายที่ว่า ที่ต้องยอม หรือต้องใช้-อ้างอิงสิ่งนี้ เพราะคิดแล้วว่าดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์บางอย่างดำเนินไป ทั้งที่การตัดสินอย่างนั้นขาดมาตรฐานร่วมกันของทั้งสองฝ่ายตั้งแต่แรก
บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมนั่นแหละครับ ที่ประณามประชาธิปไตยและการคอรัปชั่นก็ส่งเสริมมาตรฐานนี้มาโดยตลอด มองแต่ว่าสภาวการณ์ใดจะผลักดันสิ่งที่ตนเห็นว่าสำคัญได้มากกว่ากัน จนไปถึงขั้นที่ว่าเมื่อวิจารณ์ว่าสิ่งที่มีอยู่นั้นสง่างาม ก็พร้อมที่จะยอมรับหรือไม่ปฏิเสธกระบวนการอื่นๆ ที่ไม่สง่างามเช่นกัน หรือกล่าวง่ายๆ ว่า ยอมให้ความไม่สง่างามจัดการความไม่สง่างามไปเรื่อยๆ จะว่าไปแล้วก็ทุกฝ่าย
ทุกฝ่ายก็อ้างว่าให้อดทน แต่อดทนของแต่ละฝ่ายนั้นเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายตนเองกุมสภาพได้เท่านั้นเอง
มาจนวันนี้ผมยังนึกไม่ออกเลยครับว่าจะมีการออกแบบสถาบันทางการเมืองอย่างไร (สถาบันในความหมายกว้างที่รวมถึงแบบแผนพฤติกรรมบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าองค์กรทางการเมือง) ที่จะทำให้คนพูดกันได้ แล้วลดความเป็นจิงโจ้ลงได้บ้าง
เรื่องนี้สำคัญมากครับ และอาจไม่จำเป็นจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งในการศึกษาแล้วผลักดันเป็นกฎหมาย แต่อาจจะหมายถึงการเผชิญหน้ากับความจริงว่า ปัญหาใหญ่ของการเมืองไทยคือการใช้กันไปมาของคนหลายฝ่าย โดยกติการ่วมกันก็คือ เอ็งใช้ ข้าก็ใช้ โดยเชื่อว่านี่คือทางเลือก-ทางออกที่ดีที่สุดแล้ว แล้วก็โจมตีกันว่าอีกฝ่ายไม่จริงใจ อีกฝ่ายมีเบื้องหลัง
ถ้าเรื่องมันมาถึงขั้นนี้ ผมคิดว่ากลับมาตั้งหลักกันก่อนว่าเราจะอยู่ยังไง เราจะมีกติกาอย่างไรให้คนในสังคมอยู่ด้วยก่อน ไม่ใช่มองแค่สถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการ
ถ้ายังใช้กันไปมาแบบนี้ แล้วมองว่าอีกเป็นจิงโจ้ เราคงอยู่กันยากครับผม โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นคน
แต่ถ้าในฐานะที่เป็นจิงโจ้ ก็คงอยู่แบบกระโดดโหยงเหยงกันไปเรื่อยแหละครับ