คอลัมนิสต์

จิงโจ้ธิปไตย

จิงโจ้ธิปไตย

26 มี.ค. 2552

(สำหรับคนที่ตามมุกไม่ทัน เมื่อนานมาแล้ว มีคำกล่าวที่ว่า อยากเจอคนจริงใจ ไม่จริงโจ้ - จิงโจ้)

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยในช่วงนี้ ผมกำลังรู้สึกว่า ถ้าเราไม่ใช่จิงโจ้ เราก็พยายามกล่าวหาว่าคนอื่นเป็นจิงโจ้กันหมด

 โจทย์ที่สำคัญในการปฏิรูปการเมืองของไทยจึงอาจจะต้องไปให้พ้นจากเรื่องของการสร้างกลไกกำกับพฤติกรรมนักการเมืองด้วยกฎหมาย

 เพราะสิ่งที่เราเผชิญหน้าในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่นมากมายนัก

 ในความหมายที่ว่าการทุจริตคอรัปชั่นนั้นเป็นเพียงหาประโยชน์จากวัตถุ

 แต่การหาประโยชน์จากคนด้วยกันต่างหากที่น่ากลัวกว่า และสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ว่าด้วยการบริหารความเห็นแก่ตัวผ่านการเป็นตัวแทนที่ลงมาเล่นในกติกาเดียวกัน ที่เรารู้จักกันในนามของการเลือกตั้ง

 สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้คือ การเฟื่องฟูของการใช้หรืออ้างอิงคนหรือสถาบันต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนเองในทุกๆ ฝ่าย

 ฝ่ายหนึ่งก็อ้างสีหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็อ้างอีกสีหนึ่ง

 ต่างฝ่ายต่างตรวจสอบความจริงใจแต่ของฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่เปิดเผยความจริงใจของตัวเอง

 ที่มากกว่านั้นก็คือ บางคนถึงกับใช้คำอธิบายที่ว่า ที่ต้องยอม หรือต้องใช้-อ้างอิงสิ่งนี้ เพราะคิดแล้วว่าดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์บางอย่างดำเนินไป ทั้งที่การตัดสินอย่างนั้นขาดมาตรฐานร่วมกันของทั้งสองฝ่ายตั้งแต่แรก

 บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมนั่นแหละครับ ที่ประณามประชาธิปไตยและการคอรัปชั่นก็ส่งเสริมมาตรฐานนี้มาโดยตลอด มองแต่ว่าสภาวการณ์ใดจะผลักดันสิ่งที่ตนเห็นว่าสำคัญได้มากกว่ากัน จนไปถึงขั้นที่ว่าเมื่อวิจารณ์ว่าสิ่งที่มีอยู่นั้นสง่างาม ก็พร้อมที่จะยอมรับหรือไม่ปฏิเสธกระบวนการอื่นๆ ที่ไม่สง่างามเช่นกัน หรือกล่าวง่ายๆ ว่า ยอมให้ความไม่สง่างามจัดการความไม่สง่างามไปเรื่อยๆ จะว่าไปแล้วก็ทุกฝ่าย

 ทุกฝ่ายก็อ้างว่าให้อดทน แต่อดทนของแต่ละฝ่ายนั้นเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายตนเองกุมสภาพได้เท่านั้นเอง

 มาจนวันนี้ผมยังนึกไม่ออกเลยครับว่าจะมีการออกแบบสถาบันทางการเมืองอย่างไร (สถาบันในความหมายกว้างที่รวมถึงแบบแผนพฤติกรรมบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าองค์กรทางการเมือง) ที่จะทำให้คนพูดกันได้ แล้วลดความเป็นจิงโจ้ลงได้บ้าง

 เรื่องนี้สำคัญมากครับ และอาจไม่จำเป็นจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งในการศึกษาแล้วผลักดันเป็นกฎหมาย แต่อาจจะหมายถึงการเผชิญหน้ากับความจริงว่า ปัญหาใหญ่ของการเมืองไทยคือการใช้กันไปมาของคนหลายฝ่าย โดยกติการ่วมกันก็คือ เอ็งใช้ ข้าก็ใช้ โดยเชื่อว่านี่คือทางเลือก-ทางออกที่ดีที่สุดแล้ว แล้วก็โจมตีกันว่าอีกฝ่ายไม่จริงใจ อีกฝ่ายมีเบื้องหลัง

 ถ้าเรื่องมันมาถึงขั้นนี้ ผมคิดว่ากลับมาตั้งหลักกันก่อนว่าเราจะอยู่ยังไง เราจะมีกติกาอย่างไรให้คนในสังคมอยู่ด้วยก่อน ไม่ใช่มองแค่สถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการ

 ถ้ายังใช้กันไปมาแบบนี้ แล้วมองว่าอีกเป็นจิงโจ้ เราคงอยู่กันยากครับผม โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นคน

 แต่ถ้าในฐานะที่เป็นจิงโจ้ ก็คงอยู่แบบกระโดดโหยงเหยงกันไปเรื่อยแหละครับ