คอลัมนิสต์

การทูตปิงปอง

การทูตปิงปอง

16 มี.ค. 2552

ปี 2552 เป็นวาระครบรอบ 30 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของประเทศที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนานนับเป็นเวลาถึง 30 ปี ก็คือ กีฬาปิงปอง

เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีชัยชนะในการต่อสู้กับคณะชาติ หรือก๊กมินตั๋ง และขึ้นปกครองประเทศใน พ.ศ.2492 นั้น สหรัฐได้ให้การสนับสนุนก๊กมินตั๋งซึ่งลงไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวัน พร้อมกับดำเนินการคว่ำบาตรและกดดันจีนในด้านต่างๆ รวมถึงเรื่องกีฬา โดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล และสหพันธ์กีฬาหลายประเภท ได้ให้สิทธิแก่ไต้หวันในการแข่งขันต่างๆ ในฐานะประเทศเอกราช โดยมีทั้งที่ถือว่าจีนมี 2 ประเทศ คือไต้หวันกับจีน หรือถือว่าไต้หวันเป็นอีกประเทศหนึ่งต่างหากจากจีน ซึ่งฝ่ายจีนถือว่าเป็นการละเมิดเอกภาพและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน ในปี 2501 จีนจึงถอนตัวจากการเป็นสมาชิกโอลิมปิกสากล และไม่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศของสหพันธ์กีฬาอีก 15 องค์กร เป็นเวลานานถึง 20 ปี

 ในปี 2515 จีนสนับสนุนให้ญี่ปุ่นและเกาหลีเหนือจัดตั้งสหภาพปิงปองเอเชียขึ้นเพื่อคานอำนาจสหพันธ์ปิงปองเอเชียซึ่งไต้หวันมีอิทธิพลอยู่ โดยจีนเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ นอกจากจะทำให้จีนมีสถานะทางกฎหมายเป็นที่ยอมรับในประชาคมโลกแล้ว ยังถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของจีนต่อนโยบายเรื่องความเป็นประเทศหนึ่งเดียวของจีน

 ก่อนหน้านี้ในปี 2514 ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปิงปองชิงชนะเลิศระดับโลก ครั้งที่ 31 แม้ว่าในเวลานั้นจีนกับญี่ปุ่นยังไม่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ต่อกัน แต่นายกรัฐมนตรีโจว เอิน ไหล ก็เสนอให้ส่งนักกีฬาปิงปองของจีนเข้าไปร่วมการแข่งขันด้วย ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ขึ้นเมื่อนักปิงปองจีนและสหรัฐจับมือกันด้วยไมตรีจิต เจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศพบปะเจรจากันฉันมิตร และนักปิงปองสหรัฐยังแสดงความปรารถนาที่จะมีโอกาสไปแข่งปิงปองในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีจากฝ่ายสหรัฐ ทำให้ประธานเหมา เจ๋อตุง อนุมัติการเชิญทีมปิงปองสหรัฐไปเยือนจีนในทันที อันเป็นที่มาของคำว่า "การทูตปิงปอง" (Pingpong Diplomacy)

 ริชาร์ด นิกสัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น ได้ตอบสนองคำเชิญของจีนด้วยการส่งทีมปิงปองเดินทางไปปักกิ่ง อันเป็นการเปิดทางไปสู่การเดินทางเยือนจีนครั้งแรกของผู้นำสหรัฐในเวลาต่อมา รวมถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของประเทศทั้งสองในวันที่ 1 มกราคม 2522 ในสมัยของประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ และนายกรัฐมนตรี เติ้ง เสี่ยวผิง

 ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการญาติดีระหว่างจีนกับสหรัฐ ได้แก่ การที่จีนแตกคอกับสหภาพโซเวียต เมื่อต่างฝ่ายต่างชิงความเป็นผู้นำของประเทศโลกที่สาม และการแข่งขันพัฒนานิวเคลียร์ ทำให้ความขัดแย้งซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2503 พัฒนาไปสู่การปะทะกันด้วยกำลังตามแนวชายแดนในปี 2512 รวมทั้งการที่จีนมีความกังวลว่าโซเวียตจะรุกรานตนเช่นเดียวกับที่ทำกับเชโกสโลวาเกียในปี 2511 หรือโซเวียตอาจจะร่วมมือกับเวียดนามเหนือเพื่อปิดล้อมจีนตามแผน “ความมั่นคงในเอเชีย” ของประธานาธิบดี เบรสเนฟ

 ในวาระครบรอบ 30 ปี แห่งความสัมพันธ์ของจีน-สหรัฐ นอกจากอดีตประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ พร้อมด้วย นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัย นิกสัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการเปิดช่องทางการติดต่อระหว่างสหรัฐกับจีนในครั้งนั้น ได้เดินทางไปเยือนปักกิ่ง ในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดีโอบามาแล้ว ในเดือนเมษายนนี้ บุคคลที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของการทูตปิงปองคือ นายเกลน โคแวน นักปิงปองสหรัฐ กับ นายจวง จื้อตุ้ง นักปิงปองจีน ซึ่งเคยลงแข่งขันกันที่ญี่ปุ่น เมื่อ 38 ปีก่อน ก็จะได้มีโอกาสพบกันอีกครั้ง ที่ประเทศจีน

 จวง จื้อตุ้ง กล่าวว่า "ก็เพราะ “การทูตปิงปอง” ที่เริ่มต้นระหว่างผมกับ เกลน โคแวน...ลูกปิงปองเล็กๆ เหล่านั้นได้ช่วยผลักดันการแก้ไขปัญหาการเมืองที่ซับซ้อนได้อย่างราบรื่น ทำให้จีนไม่เพียงแต่เปิดประตูความสัมพันธ์กับสหรัฐเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการเปิดประตูความสัมพันธ์กับทั่วโลก รวมทั้งเป็นการปูพื้นฐานให้แก่การปฏิรูปและการเปิดประเทศจีนอีกด้วย"