"ถ้ำนาคา" เมืองลับแล ความเชื่อ ถึง ป่าคำชะโนด เขาคิชฌกูฏ ทำไมต้องศรัทธา
ความลี้ลับของสถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็น "เมืองลับแล" เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ สัมผัสถึง "ชาวทิพย์" ความบริสุทธิ์ของมิติคู่ขนาน
"เมืองลับแล" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ผีบังบด" ตามตำนานที่มักกล่าวขานกัน คือเป็นเมืองเก่าที่มีลักษณะของป่าดงดิบทั้งที่เป็นพื้นราบและบนเขา มีความสงบเงียบเป็นที่ตั้ง
และเรื่องที่เล่าขานสืบต่อกันมาที่ได้ยินกันบ่อยนั่นก็คือเหตุการณ์ เรื่องราว "ผีโบกรถ" ให้ไปส่งในที่รกร้างว่างเปล่าอยู่บ่อยครั้ง "ผีว่าจ้างรถตู้" ไปส่งในวัดร้างในตำบลพุ่มแก อ.นาแก จังหวัดนครพนม และ "ผีว่าจ้างให้ไปฉายหนัง" ที่วัดป่าคำชะโนด จังหวัดอุดรธานี
หลวงพ่อเกษม เขมโก พระอริยะสงฆ์จากสำนักสุสานไตรลักษณ์ อ.เมือง จ.ลำปาง เคยเล่าให้ฟังว่า ชาวเมืองลับแลเป็น "ชาวทิพย์" ที่มีลักษณะเหมือนกับคนเราทั้วไป แต่อยู่ในอีกมิติหนึ่งของโลกเรานี่แหละ มีอาชีพทำการเกษตร หัตถกรรม เลี้ยงสัตว์ทั่วไป ชีวิตทุกชีวิตอยู่ได้เพราะจากแรงกรรม ชีวิตของพวกเค้าดีกว่าพวกเปรตและอสูรกายแต่ไม่ดีเท่ากับเทวดา
และเคยมีเรื่องเล่าให้ฟังอีกว่า "ชาวทิพย์" เขามารักกับสาวชาวมนุษย์แล้วก็เลยเอาสาวชาวมนุษย์นั้นไปอยู่ในภูมิของพวกเขา สาวชาวมนุษย์นั้นไปอยู่ที่เมืองของเขาก็เข้าใจว่าผ่านไป 7 ปี แต่ถ้านับเวลาในเมืองมนุษย์ก็ผ่านไปถึง 700 ปี "ชาวทิพย์" ต้องรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัดและห้ามเสพเยี่ยงมนุษย์ การดับของชาว "เมืองลับแล" เป็นลักษณะเช่นเดียวกับการเกิด คือ จิตเปลี่ยนสถานเฉย ๆ ด้วยบุญ การมาก็มาด้วยบุญ การกลับก็กลับด้วยบุญ เมื่อถึงวาระแห่งการหมดกรรมจะรู้ได้ด้วยตนเอง คือปิติจะเกิดกับผู้ที่หมดกรรมหรือหมดวาระจากเมืองลับแล และเขาเหล่านั้นจะได้สู่ภพภูมิที่ตัวเองมาคือไปเป็นเทวดาเพื่อเสวยบุญต่อ ณ จุดที่ลงมา
อุทยานแห่งชาติภูลังกา อำเภอบึงโขงหลง จ.บึงกาฬ มีลักษณะเป็นภูเขาเรียงซ้อนกัน 3 ลูกตามแนวแม่น้ำโขง มีตำนานจากเรื่องเล่าที่เกิดจากความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อ "พ่อปู่อือลือ" เจ้าเมืองรัตพานครแห่งภูลังกาที่ถูก "พญานาคราช" สาปให้กลายร่างเป็นนาคเฝ้าในบึงโขงหลงจนกว่าจะถูกล้างคำสาป หลังจากที่พญานาคราชเคลื่อนพลเข้าถล่มเมืองเป็นราบคาบ เนื่องจากไม่พอใจที่ "พ่อปู่อือลือ" ขับไล่ "นาครินทรานี" พระธิดาของพญานาคราชและเป็นมเหสีของ "เจ้าชายฟ้ารุ่ง" อีกทั้ง "พ่อปู่อือลือ" ไม่ได้คืนเครื่องกกุธภัณฑ์ของตระกูลแก่พญานาคราชตามคำร้องขออีกด้วย
ในอดีต "ภูลังกา" เป็นธรรมสถานแห่งพระอริยะสงฆ์สายพระป่าอย่าง "หลวงปู่มั่น" เคยไปอยู่จำพรรษาหรือไปเพื่อการวิเวกบนภูลังกา นอกจากนี้ยังมี หลวงปู่เสาร์, หลวงปู่ฝั้น,หลวงปู่เทสก์,หลวงปู่อ่อน,หลวงปู่สิม,หลวงปู่วัง,พระอาจารย์สมชาย,หลวงพ่อชา,พระอาจารย์โง่น,พระอาจารย์สีโห,พระอาจารย์วัน,พระครูอดุลธรรมภาณ ฯลฯ
"ถ้ำนาคา" เชื่อกันว่า เป็น 1 ของเมืองลับแล มี "ชาวทิพย์" อาศัยอยู่ โดยก่อนหน้านี้มีเรื่องเล่าจาก พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร เทพเจ้าแห่งภูลังกาแห่งถ้ำชัยมงคล เคยเล่าให้ฟังว่า มีหนุ่มอายุ 19 ปีมานั่งสมาธิด้วยการแต่งชุดขาวเพื่อเตรียมการบวช แต่สุดท้ายได้หายตัวไปในพื้นที่เมืองลับแล และจากการนั่งสมาธิก็พบว่า หนุ่มคนนั้นได้ไปอยู่กินกับสาวที่นั่นเพราะในอดีตชาติเป็นเนื้อคู่กัน และการได้เข้าไปอยู่ในเมืองลับแลแล้วนั้นก็ไม่สามารถออกมาได้ แต่หากจะติดต่อสื่อสารกันนั้นก็สามารถทำได้แค่ตะโกนถามกันในบริเวรช่องแคบๆภายในถ้ำนาคา แต่ไม่สามารถเห็นหน้ากันได้ และเมื่อญาติของหนุ่มคนนั้นได้ทดลองก็เป็นอย่างที่พระอาจารย์วังพูดไว้ อีกทั้งหนุ่มคนนั้นได้บอกอย่างที่พระอาจารย์พูดไว้ และยังบอกอีกว่าอยู่ที่เมืองลับแล จิตใจสงบและความสุขดีอีกด้วย
"ป่าคำชะโนด" เป็นที่รู้จักมาจากเรื่องราวของ "ผีจ้างหนัง" เมื่อเจ้าของหนังเร่ได้ถูกผู้ว่าจ้างให้มาฉายหนังกลางแปลงในหมู่บ้านวังทองด้วยเงิน 4,000 บาท โดยต้องเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตี 4 และให้รีบออกจากพื้นที่โดยเร็วโดยห้ามหันกลับมามอง ขณะที่คนที่เข้ามาดูหนังผู้หญิงจะสวมชุดขาว ส่วนผู้ชายจะสวมชุดดำนั่งกันคนละฝาก แม้หนังจะสนุกหรือเศร้าทุกคนล้วนนั่งเงียบกันทุกคน
ป่าคำชะโนด อยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ ในต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ลักษณะพื้นที่จะอยู่กลางทุ่งนาแต่มีน้ำล้อมรอบ ต้นไม้ส่วนใหญ่จะเป็นต้นชะโนด ชาวบ้านเชื่อว่า มีพญานาคาอาศัยอยู่และเป็นสถานที่เดินทางไปสู่เมืองบาดาลได้ และที่น่าแปลกใจที่สุดนั่นก็คือ ผืนป่าแห่งนี้เวลาน้ำแล้งก็จะเห็นว่าดินเชื่อมต่อกันไม่มีอะไร แต่เวลาน้ำท่วม ที่ดินรอบๆ จะท่วมหมด แต่ปรากฏว่าป่านี้น้ำไม่ท่วม น้ำขึ้นสูงอย่างไรก็ไม่ท่วม ชาวบ้านจึงเชื่อว่า เกาะนี้ลอยน้ำได้
เคยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หากผู้ใดมีบุญบารมี เมื่อก้าวเดินเข้าไปสู่ป่าคำชะโนดแล้ว จะได้ยินเสียงดนตรีไทยขับกล่อมตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีตำนานเชื่อกันว่า "พญาศรีสุทโธนาคราช" ผู้ขุดแม่น้ำโขงใช้ป่าคำชะโนด เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเมืองบาดาลและโลกมนุษย์ ที่บริเวรรอยแยกของกึ่งกลางสะพานปูนรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร อีกทั้งบ่อน้ำบ่อน้ำที่อยู่กลางป่ามีน้ำตลอดทั้งปี เชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ดื่มแล้วจะช่วยให้หายเจ็บป่วยไข้ได้
"เขาคิชฌกูฏ" เป็นชื่อที่ในพระไตรปิฎกว่าเป็นดินแดนที่มีเปรตชุกชุม และเคยเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าในกรุงราชคฤห์ แต่สำหรับ "เขาคิชฌกูฏ" ที่เราพูดถึงนั้นตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เป็นแหล่งประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่
มีเรื่องราวเป็นต่ทประวัติเล่ามาว่า เมื่อพ.ศ.๒๓๙๗ นายติ่ง หรือสมุนติ่งพร้อมกับพวกได้พากันไปหาไม้กฤษณาบนเขาแห่งนี้ พอไปเจอลานหินเลยนั่งพักจนได้เวลาเดินทางกลับ แต่ทว่าเดินกลับยังไงก็วกกลับมาที่เดิมแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเดินขึ้นที่เขาแห่งนี้เป็นประจำก็ตาม จากนั้นจึงได้พากันนั่งพักเหนื่อยยังลานหินนั้นอีกรอบ ในขณะที่เพื่อนของสมุนติ่งได้นั่งถอนหญ้าเล่นที่ลานหินเพื่อจะเอนตัวลงนอน ก็ปรากฏว่าพบแหวนนาคขนาดใหญ่วงหนึ่ง จึงเชื่อกันว่าที่ตรงนี้น่าจะมีทรัพย์สมบัติมากจากนั้นได้ช่วยกันถอนหญ้าบนลานหินนั้นจนหมด และได้พบรอยเท้าขนาดใหญ่พร้อมลวดลายกงจักรและก้นหอยคล้ายของมนุษย์ยาวประมาณ ๕ ฟุต กว้างประมาณ ๒ ฟุต จนเป็นที่มาของรอยพระบาทในปัจจุบัน เชื่อกันว่าใครได้เคารพกราบไหว้ด้วยใจและอธิษฐานแล้วนั้น ย่อมเกิดผลสำเร็จและเป็นสิริมงคลแก่ผู้นั้นตลอดไป
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังอีกว่า "เขาคิชฌกูฏ" ในสมัยก่อนเคยมีคนขึ้นไปบนเขาเพื่อไปหาของป่าแล้วไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย บางคนก็เคยเห็นเสือสีขาวตัวใหญ่ บางคนก็เคนเห็นพวกเปรตออกมากรีดร้องในยามค่ำคืน นอกจากนี้ท่านพ่อเขียน ขันธสโร หรือพระครูธรรมสรคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิง ผู้บุกเบิกเคยสถานที่แห่งนี้เล่าให้ฟังว่า "พวกที่ไปด้วยไม่ศรัทธาจะถูกรุกขเทวดาที่ปกปักรักษารอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏลงโทษบ่อย ๆ ทุกปี"