คอลัมนิสต์

"หลุมดำการเมือง"ก้าวพลาดดำดิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งป่ายปีนยากขึ้นเท่านั้น

15 พ.ย. 2564

การเคลื่อนไหวเรียกร้องของพวกเขานั้น กำลังถลำลึงลงไปทุกที เสมือนหลุดเข้าไปในหลุมดำอวกาศที่ลึกสุดบรรยาย รวมทั้งยากที่จะหาทางออก หากหลุดมิติจักรวาลเข้าไป ติดตามได้ที่เจาะประเด็นร้อน โดยเมฆาในวายุ

และแล้วภาวะไม่ยอมรับผลการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการชุมนุมของม็อบสามนิ้วว่า ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง และมีมติสั่งให้เลิกการกระทำ

 

ภาพในวันนี้และไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังเก้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกบัลลังก์นั้น คือความชัดเจนและเป็นไปตามขั้นตอนประชาธิปไตยที่ถูกออกแบบมาด้วยฉันทามติเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันเก็บแผ่นกระดาษที่กลุ่มมวลชนโปรยทิ้งไว้หลังแสดงความไม่พอใจคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ขบวนการล้มล้างการปกครองฯ

แต่ภาพที่สังคมรับรู้ยามนี้และไม่กี่อึดใจก่อนหน้านั้นจะพบแล้วว่า... 

 

ใครกันแน่ที่"สับสนกับข้อเรียกร้องของตัวเอง?"

 

ใครกันแน่ที่"ชักนำประชาธิปไตยของประเทศถอยหลังเข้าคลอง? "

 

ใครกันแน่ที่"ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ในช่วงดำเนินการยื่นหนังสือต่อองค์กรระหว่างประเทศ/สถานทูตหลายชาติในห้วงนี้และห้วงที่ผ่านมาให้เข้ามาแทรกแซงกิจการบ้านเมือง?"

ใครกันแน่ที่"เรียกร้องให้สังคมและอำนาจสามฝ่ายในระบอบประชาธิปไตย(นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ) รับฟังเสียงเรียกร้องของพวกเขาและต้องกระทำทันที? "

 

ใครกันแน่ที่"เริ่มฝ่าฝืนกติกาบ้านเมืองและใช้วิธีนอกกฎหมายหลากวาระยามเมื่อมิได้ดั่งใจหมาย?"

 

ใครกันแน่ที่"ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม  แม้แต่กฎการอยู่ร่วมกันในสังคม?"

 

กลุ่มมวลชนเดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 พ.ย.64

 

หากบุคคลเหล่านี้ยืนยันว่าพวกเขาคือประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ หนึ่งเสียงของพวกเขามีความหมายกับเวลายามนี้และอนาคตของบ้านเมือง...

 

หากยังยืนยันแบบกระต่ายขาเดียวเยี่ยงนี้..ก็ยากที่จะพูดคุย

 

สารพันข้อเรียกร้องในวันวานและวันนี้ รวมทั้งการกระทำที่บังเกิดขึ้นนั้น  ขอถามว่า พวกเขาศึกษาถ่องแท้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองรอบด้านแล้วหรือ?..และเคยถอดบทเรียนหลายชาติที่เกี่ยวกับการต่อสู้ในระบอบการปกครองของประเทศเหล่านั้นมาพินิจและปรับใช้บ้างหรือไม่?

 

ภาวะยามนี้ของมวลชนกลุ่มสามนิ้วที่รวมตัวกันหลากแขนง/หลายชื่อนั้น..ถามสักนิดว่าหากจะมีการพูดคุยหารือเพื่อหาทางออกแบบสันติร่วมกันนั้น ใครคือตัวแทนและแกนนำที่เป็นตัวจริง-เสียงจริงและกลุ่มสามนิ้วให้การยอมรับและยืนยันให้ไปร่วมเสนอหาทางออกตามวิถีที่พวกเขาต้องการ?

 

รู้ๆกันอยู่ว่า หากใครกล้าหาญออกตัวว่า ข้าพเจ้าคือตัวแทนของมวลชนกลุ่มสามนิ้ว..อะไรจะเกิดขึ้นบ้างกับชีวิตในยามหน้า(และพวกเขาก็รู้ตัวกันดีว่าหากออกตัวแล้วผลลัพธ์กับชีวิตคืออะไร?)

 

หลากคำถามในพื้นที่นี้ที่สะท้อนขึ้นมานั้น มิใช่ว่าจะตำหนิมวลชนกลุ่มสามนิ้วเพียงมุมเดียว เพราะความกล้าที่จะลุกขึ้นมาตั้งคำถามในสิ่งที่พวกเขามิเข้าใจก็เป็นมุมที่ดี  แต่หากพินิจในข้อเรียกร้องและการกระทำของพวกเขานั้น คล้ายว่ามุมดีนั้นอยู่ในจุดอับ

 

มวลชนมายื่นหนังสือที่สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน

 

เพราะมุมตรงข้ามของพวกเขาที่ปรากฏต่อสังคมนั้น...มันกว้างยิ่งกว่ากว้างและเสมือนหลุมดำในอวกาศที่ลึกสุดบรรยาย รวมทั้งยากที่จะหาทางออกได้หากหลุดมิติจักรวาลเข้าไป (พิจารณาจากเหตุผลที่นำมา กล่าวอ้างและปลุกเร้าการต่อสู้ของพวกเขานั้น..คล้ายว่าน้ำหนักของขนนกจะมีปริมาตรมากกว่าหลายเท่าตัว)

 

กลเกมที่มวลชนสามนิ้วขับเคลื่อนในตอนนี้ หากมองให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้น คงต้องใช้บางวรรคทองของบทเพลง  Knockin' on heaven's doo  ของ Bob Dylan ที่บรรจงจารไว้ว่า

"Mama take this badge from me
I can't use it anymore
It's getting dark too dark to see
Feels like I'm knockin' on heaven's door..."

 

หากมองตามรูปเกมการเมืองแล้วนั้น "หลุมพรางและหลุมดำการเมือง"ที่พวกเขาบรรจงขุดไว้นั้น ลึกยิ่งกว่าลึก ยากยิ่งที่จะป่ายปีนกลับขึ้นมา....


และคล้ายว่าพวกเขาเสียเองแทบทั้งนั้นที่ตั้งใจและพลาดในการ"เดินตกลงไปด้วยตัวเอง..."