คอลัมนิสต์

โควิด-19 "สายพันธุ์อินเดีย" อันตรายแค่ไหน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อโควิด-19 "สายพันธุ์อินเดีย" ถูกตรวจพบในคลัสเตอร์แคมป์คนงานที่หลักสี่ เรามาชวนไปทำความรู้จักเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย กันว่า แท้ที่จริงแล้ว มีอันตรายมากน้อยแค่ไหน ทำไมโลกจึงจับตาอย่างเป็นกังวล


ถือว่าต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด สำหรับการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย ในประเทศไทย หลังจากเดิมที ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้เปิดเผยว่าพบผู้ป่วย โควิด-19 “สายพันธุ์อินเดีย” ในประเทศไทยแล้วในสถานกักกันโรค โดยเป็นคนไทยมาจากปากีสถานนั้น

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง...
ด่วน พบคนงานติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย 15 ราย

พบโควิดสายพันธุ์อินเดีย 15 ราย แคมป์คนงานหลักสี่
 

 


ล่าสุดวันที่ 21 พ.ค.2564 มีรายงานอัพเดทว่า ศบค.รับทราบรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย จำนวน 15 ราย ที่แคมป์คนงานหลักสี่ ขณะนี้อยู่ในการดูแลของ รพ. และส่งทีมสอบสวนโรคลงไปแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุข เตรียมแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดในวันนี้ ช่วงเวลา 15.00 น. โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  


ชวนทุกๆ คนไปทำความรู้จัก "โควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย” เกิดการกลายพันธุ์ทั้งแบบ Double Mutant และTriple Mutant Variant ส่งผลให้อันตรายกว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม และด้วยการระบาดอย่างหนักในประเทศอินเดียทำให้ทั่วโลกต่างให้ความสนใจในการศึกษาเพื่อเตรียมรับมือป้องกันการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าว
   

"สายพันธุ์อินเดีย" คืออะไร
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ (หมอยง) หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสเฟซบุ๊ก (Yong Poovorawan) ว่า สำหรับประเทศไทยการพบ “สายพันธุ์อินเดีย” ในสถานที่กักกันผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศไม่ใช่เรื่องแปลกและเป็นเรื่องน่าวิตกกังวลแต่อย่างใด ทุกคนเข้ามาได้มีการตรวจ ถ้าตรวจพบก็จะกักกันจนปลอดภัยไม่ให้มาระบาดในประเทศไทย


“สายพันธุ์อินเดีย” เป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบเป็นครั้งแรกในประเทศอินเดียตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2563 เชื้อไวรัสโควิด “สายพันธุ์อินเดีย” ตัวนี้มีชื่อว่า “B.1.617” จากการศึกษาทางทฤษฎีพบว่าการกลายพันธุ์ของโควิด“สายพันธุ์อินเดีย” ในครั้งนี้อาจมีแนวโน้มทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของวัคซีนลดลงได้ แต่ยังไม่มีการยืนยันทฤษฎีดังกล่าวอย่างแน่ชัด


ทั้งนี้ “สายพันธุ์อินเดีย” กลายพันธุ์ 2 จุด (Double Mutant)  คือ E484Q และ L452R ส่งผลให้มีความสามารถในการกระจายตัวที่สูงมากขึ้น รวมถึง“สายพันธุ์อินเดีย” กลายพันธุ์ 3 จุด (Triple Mutant Variant) เป็นชนิด B.1.618 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “โควิดสายพันธุ์เบงกอล” เกิดจากการหายไปของหนามตำแหน่ง H146 และ Y145 และมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง E484K และ D614G

 

การแพร่ระบาดของ "สายพันธุ์อินเดีย"
สำหรับการกลายพันธุ์ของ“สายพันธุ์อินเดีย” นั้น ดร.เจเรมี คามิลล์ นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตตของสหรัฐ กล่าวว่า ลักษณะการกลายพันธุ์บางอย่างของไวรัสสายพันธุ์อินเดีย มีความคล้ายคลึงกับที่พบในสายพันธุ์บราซิลและสายพันธุ์แอฟริกาใต้  ถึงแม้ว่าในขณะนี้ ทางผู้เชี่ยวชาญเผยว่ายังไม่มีหลักฐานสรุปได้แน่ชัดเกี่ยวกับเชื้อกลายพันธุ์ใหม่นี้ แต่ความน่ากังวลคือ มีการกลายพันธุ์ที่สำคัญในตำแหน่ง E484K ที่เป็นจุดสำคัญในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน(แอนติบอดี) ซึ่งแอนติบอดีเป็นสิ่งเดียวที่จะต่อสู้กับไวรัสได้ หลังจากคนผู้นั้นได้รับวัคซีนหรือเคยผ่านการติดเชื้อมาแล้ว


แต่หากนำ สายพันธุ์อินเดียมาเทียบกับสายพันธุ์จากอังกฤษ หรือที่เรียกว่าไวรัสสายพันธุ์เคนต์ (B.1.1.7) ซึ่งตรวจพบได้มากที่สุดภายในประเทศ ณ ขณะนี้รวมทั้งแพร่กระจายไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก


"ผมคิดว่าสายพันธุ์อินเดียไม่น่าจะร้ายแรง หรือติดต่อได้ง่ายเท่าสายพันธุ์สหราชอาณาจักร เราไม่ควรจะตื่นตระหนก"  ดร.เจเรมี กล่าว


ขณะที่ทางด้าน ดร. เจฟฟรีย์ บาร์เร็ตต์ จากสถาบันเวลล์คัมแซงเกอร์ของสหราชอาณาจักร เผยว่า มีการพบเชื้อกลายพันธุ์ของอินเดียตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หากเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการระบาดรอบสองจริง ก็เท่ากับว่ามันใช้เวลาในการแพร่กระจายนานหลายเดือนมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ ซึ่งหมายความว่าไวรัสสายพันธุ์อินเดียติดต่อกันได้ยากกว่าสายพันธุ์เคนต์  


โควิดในอินเดียพุ่งสูง เหตุสายพันธุ์กลายพันธุ์         
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกมีคำสั่งห้ามผู้เดินทางจากประเทศอินเดีย เดินทางเข้าประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์อินเดียแล้ว แต่ก็ยังคงมีบางประเทศที่ยังไม่มีมาตรการดังกล่าว


สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอินเดียพุ่งสูงในขณะนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า สาเหตุมาจากสายพันธุ์ B.1.617 ที่พบครั้งแรกในอินเดียใช่หรือไม่ ซึ่งสายพันธุ์นี้ปัจจุบันพบในราว 17 ประเทศทั่วโลก


ซาฮิด จามีล นักไวรัสวิทยาอาวุโสของอินเดีย กล่าวว่า สายพันธุ์ B.1.617 มีการกลายพันธุ์สำคัญสองตำแหน่งที่โปรตีนหนามของไวรัสส่วนที่เกาะติดกับเซลส์มนุษย์


องค์การอนามัยโลก (WHO)กล่าวว่า B.1.617 พบครั้งแรกในอินเดียเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา แม้สายพันธุ์ก่อนหน้านั้นจะพบตั้งแต่เดือน ต.ค. WHO จัดให้B.1.617 เป็น “สายพันธุ์ที่ต้องติดตาม”หมายความว่า อาจกลายพันธุ์ทำให้ไวรัสติดต่อง่ายขึ้น เป็นเหตุให้เกิดโรคที่รุนแรงขึ้น หรือหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ