คอลัมนิสต์

ประชาธิปไตยในเวียดนาม

ประชาธิปไตยในเวียดนาม

09 มี.ค. 2552

คุณพีรวิทย์ แฟนคอลัมน์วันเว้นวัน อีเมลมาถามเกี่ยวกับประชาธิปไตยในเวียดนาม และขอให้ผมตอบในคอลัมน์นี้ ซึ่งสรุปคำถามได้เป็นข้อๆ ว่า ข้อแรก การที่เวียดนามมีความเจริญ ประชาชนมีเงินมีทอง มีความสะดวกสบายมากขึ้น

จะเป็นเหตุให้ประชาชนเวียดนามต้องการอิสรเสรีหรือไม่ และจะมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในปี 2553 ตามที่มีผู้คาดการณ์ไว้หรือไม่ ข้อสอง ชาวเวียดนามอพยพในอเมริกาจะเข้ามามีบทบาททางการเมืองในเวียดนาม และผลักดันให้เวียดนามเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (แทนสาธารณรัฐสังคมนิยมเช่นในปัจจุบัน) หรือไม่
 คุณพีรวิทย์เพิ่มเติมว่า ในอดีตเวียดนามเคยแบ่งเป็น 2 ประเทศ คือเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ กับเวียดนามใต้ที่เป็นประชาธิปไตย และปัจจุบันเวียดนามก็มีการปกครองในระบอบสังคมนิยม แต่ใช้ระบบการค้าเสรี จึงอยากทราบว่าเวียดนามจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย เช่นรัสเซียได้หรือไม่
 คำถามข้อแรก หากใช้รัสเซียเป็นตัวตั้ง ผมก็คิดว่าเป็นการวางสมมติฐานที่คลาดเคลื่อนเพราะการที่โซเวียตมีการดำเนินนโยบาย เปเรสตรอยก้า (Perestoika) เพื่อปฏิรูปสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง รวมทั้ง กลาสนอสต์ (Glasnost) ซึ่งให้เสรีภาพด้านข่าวสารแก่ประชาชนในยุคของ กอร์บาชอฟ อันนำมาสู่การเถลิงอำนาจของ ปูติน ในเวลาต่อมา ไม่ได้เกิดจากรัสเซียในเวลานั้นมีความเจริญ หรือประชาชนมีเงินมีทอง มีความสะดวกสบายขึ้น หากเป็นเพราะปัญหาภายในที่รุมเร้า โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง ในช่วงที่สงครามเย็นใกล้จะถึงจุดจบ และรัสเซียหมดกำลังจะต่อกรกับสหรัฐ
 เมื่อย้อนกลับมาดูเวียดนามในวันนี้ ก็จะพบว่าปัจจัยประการสำคัญที่ทำให้เวียดนามมีความเจริญรุดหน้า ได้แก่ การเมืองที่มีเสถียรภาพ การปกครองที่เข้มแข็ง การใช้นโยบายหนึ่งประเทศสองระบบเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพในการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นด้วยความเฉียบขาด ฯ
 สิ่งเหล่านี้สำหรับชาวเวียดนามส่วนใหญ่ย่อมคิดว่าเป็นความสำเร็จในการบริหารของพรรคสังคมนิยมเวียดนาม ขณะเดียวกันก็เห็นว่าความวุ่นวายทางการเมืองและปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เขาจับตามองมาตลอดนั้น มาจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
 ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าเวียดนามจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยในปี 2553 หรือในเร็ววันนี้ หากแต่จะค่อยเป็นค่อยไป โดยปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมควบคู่ไปกับการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีของ มิลตัน ฟรายด์แมน เจ้าของรางวัล สาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 1976 ที่ว่า “การค้าเสรีจะทำลายการเมืองแบบรวบอำนาจ และการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน”
 สำหรับคำถามข้อที่สอง มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง 2 ประการ คือ นโยบายของรัฐบาลสหรัฐ กับบทบาทของชาวเวียดนามอพยพในอเมริกา ซึ่งแม้ว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเวียดนามจะมิได้เป็นไปในแนวทางที่สหรัฐกำหนด แต่สหรัฐก็ไม่ถือเป็นปัญหาสำคัญ เช่น สิทธิเสรีภาพของประชาชนในจีน หรือพม่า และค่อนข้างจะระมัดระวังท่าทีของตนในเรื่องเวียดนามอยู่พอสมควร ซึ่งอาจจะเป็นเพราะบาดแผลของสหรัฐจากสงครามเวียดนามในอดีตที่ยังคงเป็นฝันร้ายของชาวอเมริกันส่วนหนึ่ง ส่วนบทบาทของชาวเวียดนามอพยพเองก็ยังไม่มีอิทธิพลมากเพียงพอต่อเศรษฐกิจและการเมืองเท่ากับชาวยิวในอเมริกาที่สามารถผลักดันนโยบายต่างประเทศของสหรัฐต่ออิสราเอลได้
 จริงๆ แล้ว ขณะนี้ในเวียดนามเองมีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่สำคัญอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มพันธมิตรกรรมกร-ชาวนา ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิทธิของแรงงานและเกษตรกรในเวียดนาม กับ กลุ่ม 8406 ซึ่งรณรงค์เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองและศาสนา สมาชิกในกลุ่ม 8406 ค่อนข้างจะเป็นคนมีความรู้และมีชื่อเสียงในสังคม โดยมีความเกี่ยวโยงกับเวียดนามอพยพในสหรัฐ ที่มีความสัมพันธ์กับวุฒิสภาอเมริกันบางคน กลุ่ม 8406 ดำเนินกิจกรรมต่างๆ อย่างเปิดเผยและท้าทายอำนาจรัฐ เพื่อมุ่งนำไปสูการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ตามแนวทางของตน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ฯ ซึ่งคำถามข้อ 2 ของคุณพีรวิทย์คงจะหมายถึงกลุ่ม 8406 นี้เอง
 ส่วนผลการจับสลากผู้โชคดีที่จะได้รับนิตยสาร “อ่านเอาเรื่อง” ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2552 จำนวน 5 ท่าน ได้แก่ คุณสายชล สวามิภักดิ์ กทม./ คุณก๋องแก้ว อินตา เชียงใหม่/ คุณฉัตรแก้วฯ นครนายก/ คุณนภัทร จันทร์หอม กทม.และคุณสมบัติ ตั้งบริบูรณ์รัตน์ ฉะเชิงเทรา ขอแสดงความยินดีด้วย และผมจะจัดส่งหนังสือไปให้ทางไปรษณีย์ครับ