คอลัมนิสต์

คำนวณคณิตศาสตร์การเมือง ปรับครม.เดิมพันอนาคต "ลุงตู่"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เจาะประเด็นร้อน : คำนวณคณิตศาสตร์การเมือง ปรับครม.เดิมพันอนาคต "ลุงตู่" โดย สำราญ รอดเพชร

          จากบทวิเคราะห์ ของคุณสำราญ รอดเพชร สื่อมวลชนอาวุโส ที่เผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์  การประเมิน สูตรคณิตศาสตร์ การเมือง และการปรับครม.ของรัฐบาล 276 เสียง เดิมพันอนาคต นายกฯลุงตู่

วันก่อนโน้นที่ส.ส.ชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์  พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ออกมารุกไล่ดร.สมคิด  จาตุศรีพิทักษ์   ให้พ้นจากตำแหน่งก็ดูจะเกินไปจริงๆ  นอกจากทัวร์ลงแล้ว นายกฯลุงตู่ก็ออกมาปรามว่า “เบาๆหน่อย  ยังจะต้องร่วมงานกันต่อไป..”

 

          ล่าสุด (10 ก.ค.63)ส.ส.ชัยวุฒิก็ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ยับอีกครั้งเมื่อเขาบอกว่า โควตาเก้าอี้รัฐมนตรีของกลุ่ม 4 กุมารคือ อุตมะ  สาวนายน,สนธิรัตน์  สนธิจิรวงศ์และสุวิทย์เมษินทรีย์  เป็นของพรรค ไม่ใช่โควตาของนายก  เพราะตอนส่งชื่อไปเป็นรัฐมนตรีส่งไปในนามพรรค...

การพูดดังกล่าวถูกมองแบบรวบรัดว่าสวนทางกับที่นายกฯพูด  หรืออาจหาญทวงคืนโควตารัฐมนตรีของนายกฯ  ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงแล้วนายชัยวุฒิคงไม่กล้าบังอาจไปท้าตีท้าต่อยในความหมายทวงคืนโควตารัฐมนตรีจากนายกฯหรอก  แต่น่าจะต้องการบอกว่าทุกเก้าอี้รวมทั้งเก้าอี้รัฐมนตรีของอุตมะ,สนธิรัตน์,สุวิทย์ (รวมทั้งดร.สมคิด)เป็นโควตาของพรรค..

          จริงๆแล้ว พล.อ.ประยุทธ  จันทร์โอชา  นายกฯ ก็พูดค่อนข้างชัดเจนเมื่อ 9 ก.ค.วันที่กลุ่ม 4 กุมารลาออกว่า...อย่าลืมว่าสัดส่วนรัฐมนตรีก็ต้องฟังจากพรรคเป็นหลัก   การจะนำคนนอกเข้ามาก็เป็นโควตาของเขา  ซึ่งตนก็ขอเขามาและเขาก็ให้ตนมาเข้ามาตรงนี้  รวมทั้งมีรัฐมนตรีหลายคนที่มากับตนด้วย

ตามนี้..แปลความได้ชัดเจนว่านายกฯนั้นเข้าใจและรู้ดีว่าสัดส่วนหรือโควต้านั้นคืออะไร เป็นอย่างไร เป็นของใคร...คำว่า “เขา”ก็คือพรรคพปชร.นั่นเอง  ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันพรรคพปชร.มอบโควตารัฐมนตรีให้พล.อ.ประยุทธจัดวางตำแหน่งต่างๆ จำนวนหนึ่ง  ที่ชอบเรียกกันว่าโควตานายกฯ,โควตาคนนอกหรือ โควตากลาง..นั่นเอง

ย้อนมองรัฐบาล”ลุงตู่” ที่กำลังจะมีการปรับใหญ่ในเร็วๆนี้   เฉพาะในส่วนของพปชร.มีทั้งสิ้น 18คน(รวมทั้งนายกฯ) จะพบว่าที่เป็นโควต้ากลางที่นายกฯนำมาจัดวางให้คนนอกมี 7 คน คือ

1)พล.อ.ประยุทธ  จันทร์โอชา  2)พล.อ.ประวิตร   วงษ์สุวรรณ   3)ดร.สมคิด  จาตุศรีพิทักษ์  4)ดร.วิษณุ  เครืองาม  5)พล.อ.อนุพงษ์   เผ่าจินดา  6) นายดอน   ปรมัติวินัย  และ 7)พล.อ.ชัยชาญ   ช้างมงคล

อีก 11 รัฐมนตรี  ซี่งมี3รัฐมนตรีกลุ่ม 4 กุมารรวมอยู่ด้วยเป็นโควตาภายในของพรรค   ซึ่งแน่นอนว่าในการจัดวางใครลงตำแหน่งไหน นายกฯย่อมมีส่วนชี้เป็นชี้ตายด้วย ดังนั้นใครมาแตะนายกฯลุงตู่ตรงนี้ถ้าบารมีไม่มากพอก็ทัวร์ลงเมื่อนั้น ดังกรณีนายชัยวุฒิ..

          ย้อนมองการจัดสรรโควตาคณิตศาสตร์การเมืองแบบหลวมๆของรัฐบาลลุงตู่  ขณะนั้นรัฐบาลมีคะแนนเสียงปริ่มน้ำอยู่ที่ 254 เสียง(รวม11พรรคเล็กด้วย)  เมื่อเอา 36 เก้าอี้ไปหาร 254 เสียง    สัดส่วนจะอยู่ที่ 7.05 เสียง ต่อ  1 รัฐมนตรี

พลังประชารัฐ 116เสียง(รวมพลังหนุนจากพรรคเล็กอีก11เป็น127เสียง) ได้ไป   18 รัฐมนตรี

ประชาธิปัตย์  53 เสียง ได้ 7รัฐมนตรี(8ตำแหน่ง)

ภูมิใจไทย 51   เสียง ได้ 7  รัฐมนตรี( 8ตำแหน่ง)

-ฯลฯ-

จะพิเศษหน่อยก็ตรงที่ พรรคชาติพัฒนา มี่ 3 เสียง ได้  1 รัฐมนตรี(เทวัญ   ลิปตพัลลภ) เป็นไปตามข้อตกลงตอนเลือกตั้งและบารมีของคนชื่อ”สุวัจน์”

อย่างไรก็ตามหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อ21 ก.พ.2563  รัฐบาลได้ข้ามพ้นจากเสียงปริ่มน้ำเป็นเสียงท่วมท้น  กล่าวคือส.ส.ทั้งสภาเหลือเพียง  487  รัฐบาลมี 276 เสียง  ฝ่ายค้านเหลือ  211   เสียง    ตัวเลขแต่ละพรรคเปลี่ยนไป  ตัวหารคำนวณสัดส่วนรัฐมนตรีจะอยู่ที่ประมาณ7.66เสียงต่อ 1 รัฐมนตรี  เมื่อลองหารเล่นๆ  ตามจำนวนส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลก็จะออกมาตามตาราง


คำนวณคณิตศาสตร์การเมือง ปรับครม.เดิมพันอนาคต "ลุงตู่"

           ตามสูตรคณิตศาสตร์การเมืองของรัฐบาล 276 เสียง  หากนำมาใช้กันแบบเคร่งครัดพรรคพลังประชารัฐต้องหายไป 2 รัฐมนตรี,ภูมิใจไทยต้องได้เพิ่มอีก 1รัฐมนตรี  ,พรรคชาติพัฒนาก็อาจต้องสลัด 1 เก้าอี้รมต.ของตัวเอง,พรรคพลังท้องถิ่นไทย,พรรคเศรษฐกิจใหม่และพรรคเล็ก 11 พรรค 11 เสียงก็ควรจะได้พรรคละ1 รัฐมนตรี....

แต่คณิตศาสตร์ในชีวิตของจริงการเมืองสุดท้ายก็จะยืดหยุ่นด้วยความลงตัวทางผลประโยชน์อย่างอื่นด้วย ทั้งผลประโยชน์ชาติและผลประโยชน์ตัวเอง.. รอบนี้คาดว่าพรรคภูมิใจไทยก็คงจะเล่นบทผู้เสียสละไม่ขอเพิ่ม, พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะยังอยู่,พรรคพลังท้องถิ่นไทย จะได้ 1 รัฐมนตรี ขณะที่พรรคเศรษฐกิจใหม่อาจจะมีตำแหน่งแห่งที่ในรูปแบบอื่นตอบแทน เช่นเดียวพับพรรคเล็ก 11 พรรคที่อาจจะพอใจในรสชาติของกล้วยและลงตัวที่ยืนที่อยู่ในปัจจุบันแล้ว...

ดังนั้นปมใหญ่จริงๆ ในการปรับครม.หนนี้ก็ย้อนกลับไปที่พรรคพลังประชารัฐที่เก้าอี้หดไปราว 2 ที่นั่ง  เช่นถ้าเหลือ 16 เก้าอี้ นายกฯเอาไปใช้ 7 เก้าอี้(รวมทั้งนายกฯ) เหลืออีก9 จะแบ่งสรรกันอย่างไรให้ลงตัวในกลุ่มต่างๆ และต้องดูดีกว่าเดิม...

แต่น่าเชื่อว่าเขย่าสูตรไปมา พลังประชารัฐอาจเหลือแค่ 17  รัฐมนตรีหายไปแค่เก้าอี้เดียว 

สำคัญที่สุดไม่ว่าโควตากลางหรือโควตาพรรค...ปรับแล้วหน้าตาทีมเศรษฐกิจเป็นอย่างไร  ประชาชนร้องยี้หรือไม่  ตอบโจทย์หรือไม่..ซึ่งจะว่ากันที่จริงที่ผ่านมาทีม 4 กุมารก็ไม่ได้เก่งกาจจนประชาชนหวงแหนเพราะฝีมือฉกาจฉกรรจ์อะไรมาก  หนำซ้ำประชาชนไม่น้อยรู้สึกไม่ปลื้มกับผลงานทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ  เพียงแต่ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ของทีมกลุ่มสามมิตรและอีกสองสามกลุ่มที่เคลื่อนไหวเปิดศึกแย่งชามข้าวในพรรคค่อนข้างย่ำแย่  มันก็เลยทำให้กลุ่ม 4 กุมารที่มีภาพลักษณ์ส่วนตัวดีพลอยโชคดีไป..และยังอยู่ได้(ชั่วคราว)แม้จะลาขาดจากสมาชิกพรรคไปแล้ว..

นั่นเพราะ “ลุงตู่” ฟังเสียงประชาชน  และฉวยใช้เวลานี้ยืดเวลาในการปรับครม.ออกไปให้นานที่สุด  ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องให้สภาฯผ่านกฎหมายงบประมาณ วาระที่3 ปลายส.ค.หรือต้นก.ย.2563 ไปก่อน..

แต่ถ้ายืดไม่ไหวจะปรับใหญ่กันต้นๆเดือนส.ค.2563 ก็ยังได้  เพราะยามนี้รัฐบาลไม่กลัวเรื่องคะแนนเสียงสนับสนุนอีกแล้ว !!

และแน่นอนถึงนาทีนี้ถึงแม้จะมีข้อจำกัดโน่นนี่นั่น  แต่เชื่อว่า “ลุงตู่” ที่มีประสบการณ์บนเก้าอี้นายกฯมา 6 ปีเต็มๆ  ต้องรู้แล้วว่าปรับครม.รอบนี้ควรจะปรับอย่างไร   ทีมเศรษฐกิจควรจะมีส่วนผสมอย่างไรให้แข็งแกร่งแข็งแรง  เมื่อรวมทั้งหมดแล้วครม.ชุดใหม่ต้องทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นศรัทธา..เพราะที่สุดแล้วการเมือง การบริหารประเทศเป็นสิ่งที่ค้ำยันรัฐบาลได้ดีที่สุดก็คือ ความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน..

...แม้ต้องคำนึงถึงคณิตศาสตร์การเมืองอยู่ แต่ต้องข้ามพ้นไปให้ได้มากที่สุด  ภายใต้หลักการนายกฯต้องเป็นคนรับฟัง แต่ต้องเป็นตัวของตัวเองด้วย

...ทุกเก้าอี้รัฐมนตรีมีความสำคัญหมด  วางคนให้ถูกที่ถูกทาง..

ถ้าปรับครม.ถูกตาถูกใจประชาชนแล้วเดินหน้าบริหารประเทศเกิดสะดุดต้องยุบสภา  หลังเลือกตั้งรอบหน้าก็ยังมีโอกาสกลับมาได้   แต่ถ้าปรับแล้วร้องยี้กันทั้งบ้านทั้งเมืองเบื้องหน้าอนาคตของท่านนายกฯลุงตู่ก็คงหนักหนาสาหัสเป็นธรรมดา.

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ