
เปิด 4 ข้อหา ส่อเข้าข่ายเอาผิด ก๊วนเลเซอร์ ป่วนเมือง
เปิด 4 ข้อหา ส่อเข้าข่ายเอาผิด ก๊วนเลเซอร์ ป่วนเมือง งานนี้มีทั้งจำและปรับ โดนกันอ่วม
หลังจากที่ ปรากฎภาพ ตึก สถานที่สำคัญ อาทิ วัดปทุมวนารามฯ แยกราชประสงค์ กระทรวงกลาโหม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อคืนวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถูกฉายทับด้วยแสงเลเซอร์ ด้วยถ้อยคำ "ตามหาความจริง"
ต่อมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ประชุมร่วมพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ภัคพงษ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมสั่งการให้เร่งดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดทั้งหมด
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ทางฝ่ายความมั่นคงร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ในเรื่องของการค้นหาความจริง หรือการติดตามความจริงอะไรก็แล้วแต่ ทุกคดีทุกเรื่อง อยู่ในกระบวนการที่มีคำตอบในตัวเองอยู่แล้วและมีช่องทางให้ไปติดตามในเรื่องของความคืบหน้า แต่ละเรื่องได้อยู่แล้ว
เรื่องการพิสูจน์ การกระทำต่างๆ ที่เป็นความผิด ทางตำรวจเรามีข้อมูลอยู่แล้ว กำลังให้ฝ่ายกฎหมาย ไปพิจาณาอย่างถี่ถ้วนว่า ใครเป็นผู้กระทำความผิดบ้าง ในการกระทำนั้น จะเป็นการกระทำความผิดกฎหมายในตัวบทใดบ้าง ยืนยันว่า ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้กลั่นแกล้งอะไร
สำหรับข้อหาที่ตำรวจกำลังพิจารณาและอาจจะแจ้งดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำ ทีมข่าวได้ตรวจสอบกับแหล่งข่าว ทราบว่า มีอยู่ 4 ข้อหาด้วยกัน ได้แก่
1. ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ จนกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือเป็นความผิดต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 "ยุยงปลุกปั่น" เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชน หรือทำให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
3. ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งอยู่ในหมวดความผิดลหุโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
4. ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เพราะคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 53 และคดีเผาเมือง หลายสำนวนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล การสร้างกระแสเพื่อให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงอาจเข้าข่ายชี้นำหรือละเมิดอำนาจศาล ซึ่งศาลสามารถเรียกผู้กระทำการไปตักเตือนหรือดำเนินคดีก็ได้ หรือหากศาลไม่ดำเนินการ ฝายโจทก์หรือจำเลยในคดีที่เห็นว่าการกระทำที่เกิดขึ้นอาจเข้าข่ายชี้นำศาล หรือกระทบต่อเนื้อหาของคดีที่พิจารณาอยู่ ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้ดำเนินการกับผู้กระทำได้
นี่คือข้อหาที่ "อาจจะ" เข้าข่ายสามารถแจ้งดำเนินคดีได้เท่านั้น แต่นักกฎหมายหลายคนก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และประมวลกฎหมายอาญาฐานยุยงปลุกปั่น เนื่องจากต้องมี "เจตนาพิเศษ" ในการกระทำ ซึ่งฝ่ายผู้กล่าวหาจะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ / แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของตำรวจว่าจะพิจารณาแจ้งข้อหาใดหรือไม่