เช็กขุมกำลังในพปชร. ขั้วลุงป้อมVSลุงอุตตมะ เสียงสูสีดู๋ดี๋

ระหว่างสถานการณ์โควิด ในพรรคพลังประชารัฐ แบ่งก๊กแบ่งค่าย ”ขวิด” กันพลางๆก่อนจะเปิดประชุมสมัยสามัญฯ

 

ทีมข่าวการเมืองคมชัดลึกออนไลน์ เคยวิเคราะห์เอาไว้ว่า กรณีที่ อุตตมะ สาวนายน ไม่ลาออกจากหัวหน้าพรรค จึงมีทางเดียวก็คือให้กรรมการบริหารเกินครึ่ง
ลาออก จะนำไปสู่การเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทันที

 

 

 

อันเป็นการล้างไพ่ อุตตมะ และสนธิรัตน์ ออกจากกรรมการบริหาร จากนั้นก็จะมีการเลือกหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคใหม่

 

เป็นไปตามเกมที่ฝ่ายเชียร์ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ประธานยุทธศาสตร์พรรควางเอาไว้ คือหัวหน้าพรรคชื่อ พล.อ.ประวิตร ส่วนเลขาธิการพรรคชื่อ สันติ พร้อมพัฒน์ เจ้าของตึกที่ทำการพรรคใหม่

 

ระหว่างที่ยังไม่มีการประชุมสามัญของพรรค จึงเป็นห้วงจังหวะเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต่าง ”ล็อบบี้”  เพื่อดึงกรรมการบริหารพรรคมาเป็นฝ่ายตัวเอง

 

กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐมีทั้งหมด 34 คน ฝ่ายไหนได้เกินครึ่ง ฝ่ายนั้นจะกุมชัยชนะในครั้งนี้

 

ดังนั้นช่วงนี้ 34 กรรมการบริหาร จึงเปรียบนักเตะเท้าทอง มีค่าตัวสูง ที่แต่ละฝ่ายจะพยายามดึงตัวหรือซื้อตัวด้วยสนนราคาสูง มีการเกทับกันตลอดเวลา

 

ฝ่ายอุตตมะ ก็บอกว่าได้กก.บห.มาแล้ว 20 คนสบายใจได้ ถึงขนาดระบุว่า ได้สมาชิกกลุ่มสามมิตร มาหนุนฝ่ายอุตตมะ จากการประสานของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 

 

แต่ฝ่ายหนุนลุงป้อม ก็ยืนยันว่า กก.บห.มาทางนี้เกินครึ่งแล้ว ข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า สมคิด มาขอการสนับสนุนจาก สามมิตรนั้น ล่าสุดมีการสรุปแล้วว่า สามมิตรยังหนุนฝ่ายลุงป้อม 

 

แถมมีการปล่อยข่าวว่า สมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ อนุชา นาคาศัย แตกคอกันก็ไม่เป็นความจริง “เลือดข้นกว่าน้ำ” แหล่งข่าวที่เป็นสมาชิกกลุ่มสามมิตรยืนยันกับ ทีมข่าวการเมือง คมชัดลึกออนไลน์

 

 

 

ขณะที่แหล่งข่าวฝ่ายหนุน อุตตมะ ก็ยืนยันกับ คมชัดลึกออนไลน์ เหมือนกันว่า ตอนนี้มีการซื้อตัวนักเตะ มาเข้าสังกัดแล้ว 20 คน ดังนั้นใน 20 คนนี้ไม่ลาออกอย่างแน่นอน เมื่อไม่ลาออกก็จะทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค

 

นี่จึงถือว่าเป็นครั้งแรกของความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการแบ่งฝ่ายต่อสู้กันอย่างชัดเจน รอเพียงวันกำหนดประชุมใหญ่ของพรรคมาถึง 

 

กว่าจะถึงวันนั้น หากลุงตู่ ไม่ออกมาห้ามทัพ มีหวังเละกันทั้งพรรค ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ ฝ่ายไหนจะแพ้ แต่จะนำไปสู่การแตกแยกครั้งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล อย่างไม่อาจปฏิเสธได้.