สำนึก 'มหาเศรษฐี' ช่วยประเทศ

       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ออกมาอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น กรณีที่มีจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีไทย 20 คน หารือช่วยเหลือ ปท.วิกฤติ'โควิด-19'
     "ในห่วงโซ่ของพวกท่านมีคนอยู่จำนวนมากซึ่งรวมความไปถึงประชาชนด้วย  มีการดำเนินการอะไรบ้างในการช่วยเหลือบุคลากรในองค์กรของท่านเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ พนักงาน ลูกจ้าง ซัพพลายเออร์ เพื่อที่จะช่วยเสริมมาตรการต่างๆของรัฐบาลที่ออกไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดพื้นที่กว้างขวางขึ้นในการช่วยเหลือดูแลประชาชน ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะไปกู้เงินหรือยืมเงินอะไร รัฐบาลก็มีเงินของรัฐบาลอยู่แล้ว"
      อธิบายง่ายก็คือ นายกฯ อยากจะรู้ว่า มหาเศรษฐีเหล่านี้ ที่มีกิจการองค์กรขนาดใหญ่ เมื่อเกิดวิกฤติ' โควิด-19' ได้ดูแลคนขององค์กร รวมทั้งประชาชนอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้ช่วยรัฐบาลอีกแรงหนึ่ง  เพราะคนเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก  หากให้ความร่วมมือกับรัฐบาลก็ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้ 
   

       และหลังจากนายกฯเริ่มส่งจดหมายเปิดผนึกเชิญไป ก็มีมหาเศรษฐีจำนวน 4 คน ออกมาขานรับแล้ว
     -มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศไทย  เครือเจริญโภคภัณฑ์( ซีพี)  นำโดย "ศุภชัย เจียรวนนท์" ประธานคณะผู้บริหาร บอกว่าแนวคิดของนายกฯเช่นนี้ จะส่งผลให้การพัฒนาฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย สามารถทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
      นายศุภชัย ซึ่งสวมหมวกอีกใบหนึ่ง ในฐานะประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) ยังบอกว่า ผู้ประกอบการด้านดิจิทัลจัดทำยุทธศาสตร์ เสนอรัฐบาลเพื่อสร้างBigData ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านแอปพลิเคชัน สำหรับเป็นทางเลือกให้แต่ละโรงพยาบาลนำข้อมูลใช้รักษาผู้ป่วย การร่วมกันจัดทำระบบทดสอบไม่ให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดย้อนกลับมาสร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจ, การพัฒนาวัคซีน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคม ประชาชนและภาคธุรกิจ
       และจากผลกระทบจากการล็อกดาวน์ และการประกาศเคอร์ฟิว ทำให้หลายหน่วยงานต้องทำงานจากที่บ้าน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการประชุมงาน จัดประชุมตามข้อกำหนดของบริษัทจดทะเบียนหรือประชุมด้านต่างๆเดินหน้าต่อไป โดยไม่ติดขัดและถูกกฎหมายร้อยเปอร์เซ็นต์  "ศุภชัย" จึงเสนอให้การทำสัญญา การลงนามลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ หรือเอกสาร E-Document เป็นเอกสารหลักแทนกระดาษเนื่องจากปัจจุบันเอกสารกระดาษเป็นเอกสารหลักในการทำสัญญา แต่หลังจากวิกฤตโควิด-19 ควรกลับด้านให้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เอกสาร E-Document เป็นเอกสารหลักแทนกระดาษ
       อีกคน  มหาเศรษฐีอันดับที่ 11 นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ   อดีตประธานคณะผู้บริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด ในฐานะผู้สร้างความมั่งคั่งจากการเป็นเจ้าของผู้ก่อตั้งสายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส และผู้ถือหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ ที่มีโรงพยาบาลในสังกัดราว 43แห่ง  ติดมหาเศรษฐีไทย อันดับที่ 11  เสนอว่าปัญหาที่ประเทศไทยเราจะต้องพบจออีกต่อจาก "โควิด-19 "ก็คือ ปัญหาการขาดแคลนน้ำใช้
     "หมอปราเสริฐ" จึงอยากจะช่วยรัฐบาลในเรื่องนี้ โดยเฉพาะที่จังหวัดสุโขทัย  เหตุที่ต้องเป็นจังหวัดสุโขทัยก็เพราะใต้ดินมีน้ำจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้เพื่อการเกษตรกรรมได้ 
     และ"หมอปราเสริฐ" พร้อมที่จะออกเงินให้ 100 ล้านบาท เพื่อขุดน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้  เมื่อแต่ละจังหวัดมีน้ำใช้เพียงพอ เกษตรกรก็สามารถจะจับปลาไปขาย และมีน้ำไว้ทำนาปรัง
       วิธีการนี้"หมอปราเสริฐ" คิดว่า  เป็นประโยชน์กว่าการเอาเงินไปให้รัฐบาล หรือโรงพยาบาลที่คนบริจาคจำนวนมากอยู่แล้ว  แต่การเตรียมการหลัง โควิด-19 หยุดแพร่ระบาด น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน 
        สำหรับบ่อเล็กๆ ที่จะขุดเอาน้ำใต้ดินมาใช้นี้ หากสามารถเชื่อมต่อกันได้ในอนาคตเพื่อให้เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ก็ยิ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่ ถ้าปีนี้ไม่ทัน อย่างน้อยปีหน้าก็จะมีน้ำไว้ให้เกษตรกรและประชาชนใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคได้ 
         "อนาคตข้างหน้า น้ำจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และไม่มีทางที่จะหามาเพิ่มได้ ถ้าไม่ทำที่เก็บกักน้ำไว้ ผมคิดว่า ข้อเสนอของผมน่าจะช่วยรัฐบาลและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้มาก” 
       มาที่เศรษฐีอันดับที่ 12 ของเมืองไทย ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และ กลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์  บอกว่าตื่นเต้นดีใจมาก หลังจากเปิดอีเมลล์ผ่านมือถือได้รับจดหมายรับเชิญจากนายกรัฐมนตรี  เชิญเข้าร่วมทีมไทยแลนด์สู้วิกฤติ"โควิด-19"
          ส่วนการให้ข้อเสนอต่อนายกฯ ต้องขอหารือร่วมกับคณะผู้บริหารของบริษัทบี.กริม.และ คณะกรรมการบริหารหอการค้าไทย เพื่อให้ได้แผนที่เหมาะเป็นยุทธศาสตร์ให้รัฐบาลใช้เป็นแนวทางทั้งในระยะสั้นและระยาว ที่จะฝ่าวิกฤติ "โควิด -19  "
         และบอกว่าที่ผ่านมา บี.กริม ได้จัดตั้งโครงการ “บี.กริม ปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด-19” อนุมัติงบประมาณบริจาคเบื้องต้นไปแล้วรวมกว่า 46 ล้านบาท ผ่านการสนับสนุนในรูปแบบเงินบริจาค และปัจจัยสิ่งของจำเป็น เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ ประกันชีวิต และถุงยังชีพ เป็นต้น
       และล่าสุดมหาเศรษฐีอันดับที่ 22 "ฉัตรชัย แก้วบุตตา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SAWADและกลุ่มศรีสวัสดิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ได้รับหนังสือเชิญจากนายกรัฐมนตรี  อาสาแก้ปัญหาหนี้นอกระบบผ่านสาขาศรีสวัสดิ์ 4 พันแห่งทั่วประเทศ
      นี่ยังเป็นส่วนน้อยของมหาเศรษฐีไทยที่นายกฯมีหนังสือเชิญไป ที่เหลือยังเงียบอยู่ 
        "เป็นหน้าที่คนรวยที่ต้องช่วยสังคม " ประโยคนี้ฟังแล้วไม่คุ้นหูใช่หรือไม่
        ก็เพราะว่า บ้านเราที่มีคนรวยมากๆ เยอะ แต่มักไม่ค่อยเห็นหรือได้ยินว่าคนรวยของเราคืนความมั่งคั่งให้กับสังคมเพราะถือเป็นหน้าที่ 
        ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำมากอย่างประเทศไทย ที่มีความเหลื่อมล้ำมากเป็นที่ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย
        และคนไทยก็รวยติดอันดับโลก ในกรณีของประเทศไทย กลุ่มคนที่รวยที่สุด 1 % แรกของประเทศเป็นเจ้าของ 58% ของความมั่งคั่งทั้งหมดที่ประเทศมี 
        ความร่ำรวย คืออำนาจอย่างหนึ่ง ทำให้เจ้าของความร่ำรวยมีอำนาจมาก  
        และเมื่อมีอำนาจก็ควรต้องมีความรับผิดชอบ ที่จะใช้อำนาจนี้เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
         คำถามคือว่า ที่ผ่านมา จริงๆ แล้ว คนที่ร่ำรวยมากๆหรือมหาเศรษฐี ใช้ความร่ำรวยให้เป็นประโยชน์ให้กับสังคมหรือประเทศชาติบ้างหรือไม่
         อย่าลืมว่าที่ร่ำรวยได้ก็เพราะใช้ทรัพยากรของประเทศนี้
          จึงถือเป็นหน้าที่ของคนที่ร่ำรวยกว่าคนอื่น ที่ต้องใช้ความร่ำรวยที่มีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยคนมีทุกข์โดยไม่หวังชื่อเสียงหรือผลตอบแทน มองเป็นภาระหน้าที่ทางศีลธรรมที่ต้องทำ เป็นภาระหน้าที่ของคนที่มีเงิน ที่ต้องช่วยเหลือคนในสังคมที่ยากไร้กว่า 
          และเมื่อประเทศกำลังประสบกับภาวะวิกฤต'โควิด-19 '

         โอกาสของพวกคุณ.."เหล่ามหาเศรษฐี "ที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติก็มาถึงแล้ว