
ผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรม
ผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรม โดย... โคทม อารียา
คำว่า “สรร” แปลว่าเลือก ส่วนคำว่า “สรรค์” แปลว่าสร้าง เหตุที่เรานิยมใช้คำซ้ำมาประกอบเป็นคำใหม่ จึงมีคำว่า “เลือกสรร” หรือ “สร้างสรรค์” เกิดขึ้น ในที่นี้ขอใช้คำใหม่สักคำหนึ่งคือ “สรรสร้าง” ในความหมายว่า “สร้างสรรค์แบบเลือกสรร” นั่นเอง คำว่า “ผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรม” แปลมาจากคำว่า cultural creatives ซึ่งเป็นคำที่ Paul H. Ray และ Sherry Ruth Anderson เป็นผู้เสนอให้ใช้กับชาวตะวันตกจำนวนมาก (ประมาณหนึ่งในสี่ในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งอยู่นอกการแบ่งกลุ่มตามกระบวนทัศน์มาตรฐาน เป็นกลุ่มสมัยใหม่ (ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากร) กับกลุ่มประเพณีนิยมหรืออนุรักษนิยม (ประมาณหนึ่งในสี่) ผมได้ข้อคิดที่จะมาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้จากหนังสือชื่อ “กุญแจแห่งอนาคต” ที่เขียนโดยนักวิชาการชาวฝรั่งเศสชื่อ Jean Staune
Ray และ Anderson ทำการวิจัยที่กว้างขวาง โดยวิเคราะห์แบบสอบถามกว่า 100,000 ฉบับ และสัมภาษณ์ผู้คนหลายพันคน จึงได้ข้อสรุปที่น่าทึ่งดังกล่าวข้างต้น ขอให้ผู้อ่านลองตอบคำถามดังต่อไปนี้เพื่อทดสอบว่าผู้อ่านอยู่ในกลุ่มประชากรกลุ่มใด
- ในชีวิตของท่าน ท่านให้ความสำคัญแก่ “การเป็น” ในลำดับก่อน “การมี” ใช่หรือไม่
- สมมุติว่ารุ่มรวยพอ ท่านก็จะไม่ซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์หรือรถยนต์เฟอร์รารี ใช่หรือไม่
-ท่านมีการใฝ่หาทางศาสนาหรือจิตวิญญาณ แต่ไม่รับ “คำสอนพร้อมให้เชื่อ” ที่เสนอโดยศาสนาสำคัญๆ ใช่หรือไม่
-ท่านใฝ่หาการพัฒนาด้านใน โดยการเจริญสติภาวนา การเล่นโยคะ การฝึกชี่กง หรือการเข้าเงียบในศาสนสถาน ใช่หรือไม่
- ท่านไม่พอใจการสื่อสารในปัจจุบัน ท่านสงสัยข้อความที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ แต่ท่านก็ไม่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิด ใช่หรือไม่
-ท่านเลือกชอบที่จะอ่านหนังสือหรือบทความในอินเทอร์เน็ต มากกว่าการชมรายการโทรทัศน์ ใช่หรือไม่
- ท่านรู้สึกอึดอัดกับข้อเสนอทางการเมืองที่มีอยู่ ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา ใช่หรือไม่
- ท่านคิดว่าสตรีและคุณค่าอิตถีเพศควรมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นในสังคม ใช่หรือไม่
-ท่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะดูแลรักษาธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะของสิ่งมีชีวิต ใช่หรือไม่
- เพื่อเอื้ออำนวยต่อเหตุมุ่งหมายข้างต้น ท่านพร้อมที่จะเสียสละและซื้อสินค้าที่แพงกว่าได้หรือไม่
-ท่านซื้อสินค้าจากการพาณิชย์ที่เท่าเทียม (equitable commerce) และจากการเกษตรชีวภาพบ้างหรือไม่
- ท่านเลือกชอบที่จะไปพักร้อนในฟาร์มหรือไปกางเต็นท์ในภูเขามากกว่าจะไปอยู่ในคลับหรูชายทะเล หรือที่ชายหาดดังๆ ใช่หรือไม่
- ท่านรำคาญการโฆษณาสินค้าและลัทธิบริโภคนิยม ใช่หรือไม่
-ท่านรู้สึกดีที่จะไม่ครอบครองอะไรมาก และปฏิเสธที่จะซื้อสิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดที่ท่านไม่ต้องการ ใช่หรือไม่
-แม้ว่าท่านยังอาศัยการรักษาพยาบาลสมัยใหม่ แต่ท่านก็วิพากษ์วิจารณ์การแพทย์สมัยใหม่ และพึ่งพาการแพทย์ทางเลือกเป็นบางครั้ง ใช่หรือไม่
- ท่านสนใจอารยธรรมดั้งเดิมบางอารยธรรม เช่น อารยธรรมชาวอินเดียนแดง ชาวทิเบต ชาวอะบอริจิน เป็นอย่างมาก ใช่หรือไม่
- ในแต่ละเดือนท่านให้เวลาหลายชั่วโมงแก่กิจกรรมอาสาสมัคร ใช่หรือไม่
ถ้าผู้อ่านตอบคำถามข้างต้นว่า “ใช่” เป็นส่วนใหญ่ แสดงว่าท่านอยู่ในกลุ่ม ผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรม ลักษณะเด่นของบุคคลในกลุ่มนี้คือ (1) การแสวงหาความหมายแก่การใช้ชีวิต การให้ความสำคัญแก่เรื่องทางจิตวิญญาณโดยไม่รับความคิดมูลฐานนิยม (fundamentalism) (2) การเคารพธรรมชาติและการพัฒนาที่ยั่งยืน (3) การเคารพและมีความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้เป็นอื่น รวมทั้งชนกลุ่มน้อย และชนเผ่าดั้งเดิม (4) การไม่พอใจบรรดาผู้เชี่ยวชาญ สื่อสารมวลชน นักการเมือง บรรษัทขนาดใหญ่ การโฆษณาสินค้า การแพทย์แผนปัจจุบัน ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธความคิดสุดโต่ง รวมถึงทฤษฎีสมคบคิด ที่เห็นว่ามี “สายลับ” หรือ “สมาคมลับ” เช่น Illuminati ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของทุกวันนี้
ในสหรัฐอเมริกาการผุดบังเกิดของกลุ่มผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรมเป็นเรื่องใหม่ จึงมักถูกมองข้ามไป อย่างไรก็ดีการศึกษาข้างต้นแบ่งคนอเมริกันเป็นสี่กลุ่มที่มีจำนวนเท่าๆ กันคือ กลุ่มผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรม กลุ่มผู้มีความคิดอนุรักษนิยม ประเพณีนิยม ชาตินิยมสุดโต่ง ที่มองเข้ามาที่กลุ่มของตัวเองก่อน กลุ่มผู้มีกระบวนทัศน์สมัยใหม่และมีความคิดทางการเมืองแบบซ้ายอ่อนๆ (ผู้นิยมพรรคเดโมแครตในสหรัฐ) และสุดท้ายกลุ่มผู้มีกระบวนทัศน์สมัยใหม่แบบขวาอ่อนๆ (ผู้นิยมพรรคริพับลิกัน) ดังนั้นความสำเร็จของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐคนหนึ่งคนใดน่าจะขึ้นอยู่กับว่าผู้สมัครคนนั้นสามารถระดมให้กลุ่มหนึ่งใดในสี่กลุ่มข้างต้น เกิดแรงจูงใจพอที่จะออกมาเลือกผู้สมัครคนนั้น เป็นไปได้ว่าอดีตประธานาธิบดีโอบามาสร้างแรงจูงใจให้แก่กลุ่มผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์สร้างแรงจูงใจให้กลุ่มประเพณีนิยม-ชาตินิยมให้มาเลือกเขาอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่ว่าเขาจะตุกติกหรือระรานเพียงใดก็ไม่สำคัญ สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ ผลอาจจะขึ้นอยู่กับว่าผู้สมัครคนใดจะรับทราบและรู้จักนำผลการวิจัยของ Ray และ Anderson ไปใช้สักเพียงใด
ในยุโรปภูมิทัศน์ทางการเมืองมีความเป็นพลวัตมากขึ้น เช่น (1) เราเห็นการผุดบังเกิดของความนิยมของพรรคการเมืองฝ่ายขวา ไม่ว่าจะเป็นในอิตาลี โปแลนด์ ออสเตรีย ฮังการีและสหราชอาณาจักร เป็นต้น (2) เราเห็นความยากลำบากมากขึ้นในการพัฒนาความเป็นสหภาพยุโรป ที่ต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากกว่าการมาก่อนของความรู้สึกชาตินิยม (3) เราเห็นการผุดบังเกิดของพรรคการเมืองแนวใหม่ที่ได้รับความนิยมเพราะปฏิเสธหรือประท้วงแนวเก่า เช่น ที่ กรีก อิตาลี ยูเครน เป็นต้น (4) เราเห็นการออกนอกกรอบของการแบ่งเป็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาในฝรั่งเศส (5) เราเห็นการเพิ่มขึ้นของข้อเรียกร้องทางนิเวศวิทยา โดยเฉพาะการเรียกร้องให้นักการเมืองเอาจริงเอาจังกับภาวะโลกร้อน พรรคการเมืองฝ่ายเขียวกำลังประสบความสำเร็จมากขึ้นในประเทศสวิส และเยอรมัน
อย่างไรก็ดียังไม่ได้มีการศึกษาอย่างจริงจังว่ากลุ่มสรรสร้างทางวัฒนธรรมมีจำนวนมากน้อยเพียงใดในประเทศต่างๆ ของยุโรป และกลุ่มเช่นนี้จะสร้างพลวัตแก่ภูมิทัศน์ทางการเมืองของยุโรปได้มากน้อยเพียงใด
นักวิชาการในยุโรปยังศึกษาพลวัตทางวัฒนธรรมและทางการเมืองน้อยกว่านักวิชาการในสหรัฐ และเป็นธรรมดาที่นักวิชาการในประเทศไทยยังจะตามหลังอยู่อีก นักวิชาการจึงควรตื่นตัวและได้รับการสนับสนุนมากขึ้นกว่านี้ ทั้งนี้เพราะไทยกำลังเผชิญวิกฤติหลายด้าน นพ.ประเวศ วะสี ได้เตือนหลายครั้งว่า ในทางการเมืองเรายังเป็นเหมือนไก่ที่จิกตีกันอยู่ในเข่ง ในทางเศรษฐกิจความเหลื่อมล้ำที่ยังมีสูง การเก็บเงินภาษีหรือรับเงินบริจาคจากคนรวยมาช่วยคนจนยังทำได้ยากมาก
น่าจะมีการศึกษาอย่างที่ Ray และ Anderson ทำไว้ เช่น ลองสอบถาม (ในทำนองแบบสอบถามข้างต้น) เพื่อดูว่ามีคนไทยมากไหมที่อยู่ในกลุ่มผู้สรรสร้างทางวัฒนธรรม อาจจะลองศึกษาเพิ่มเติมบ้างว่าคนกลุ่มนี้เห็นอย่างไรเกี่ยวกับภาพ “ไก่จิกกันอยู่ในเข่ง” และกับภาพ “รวยกระจุก จนกระจาย” ถ้าเห็นพ้องกันว่าประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติ คนกลุ่มนี้จะมีส่วนช่วยเป็นพลังการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เช่น จะใช้อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดความเข้าใจกันในความแตกต่าง และเกิดการพัฒนาการพาณิชย์ที่เท่าเทียมได้อย่างไร